A A

บทความ

1-1 เกริ่นนำ

ก่อนผมจะเล่าถึงตำนานหรือนิยายสมัยใหม่ กึ่งศาสนาพุทธกึ่งวิทยาศาสตร์ หรือจะเรียกว่า ความลับของฟ้าก็ย่อมได้ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ การสร้างจักรวาลและสรรพสิ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง ผมจะขอเริ่มเรื่องโดย การย้อนรอยไปถึงเทพนิยายหรือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ในอดีตก่อนคัมภีร์และเทพนิยายเหล่านี้ ล้วนไม่ถูกยอมรับโดยพระพุทธเจ้า สาเหตุน่าจะมาจากประการเดียวคือ บรรดาคัมภีร์และเทพนิยายเหล่านี้ ได้ให้คำจำกัดความคำว่า “พระเจ้า” ผิดพลาด โดยไประบุว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งที่เป็นอัตตา หรือสสารให้บังเกิดขึ้น เพื่อจะอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่าง ในบทนี้ผมขอจึงแบ่งหัวข้อใหญ่และหัวข้อย่อยในการพิจารณาออกเป็น 1. คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์และนิยายศาสนาในอดีต 2. ความเจริญสุดขีดของมนุษย์ย้อนมาเล่นตลกกับมนุษย์ 3. ทำไมฟ้าจึงเปิดเผยความลับยิ่งใหญ่บางส่วนให้ผมรู้ ?

1-2 คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์และนิยายศาสนาในอดีต

ในอดีตคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา และลัทธิต่างๆทั่วโลก ต่างพากันเชื่อว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้มีฤทธานุภาพและพลานุกาพยิ่งใหญ่ที่สุด พระองค์ได้สร้างจักรวาลและทุกสรรพสิ่ง รวมทั้งมนุษย์ด้วย โดยการสร้างทั้งหมด อยู่ในรูปแบบที่เป็นกายภาพหรือมีอัตตาเมื่อศาสนาพุทธไปสอนเขาว่า อัตตาแท้จริงเป็นอนัตตา ผู้คนต่างพากันงงและไม่เข้าใจเพราะมันไปขัดกับสิ่งที่มนุษย์ทั้งโลกรับรู้ บ้านก็เป็นอัตตา จานชามก็เป็นอัตตา แม้แต่ตัวของเขาก็เป็นอัตตา และถ้าเราผ่าอัตตาชิ้นใหญ่ออกเป็นชิ้นเล็กๆ จนถึงเล็กที่สุด เราก็ยังเห็นสิ่งที่เป็นอัตตาอีก พอโลกมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น นักวิทยาศาสตร์สามารถค้นพบอะตอม และเห็นสิ่งที่เล็กกว่านั้นอีกคือ โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน ทั้งหมดก็ยังคงเป็นอัตตาเหมือนเดิม ดังนั้น ข้อเท็จจริงเรื่องการสร้างจักรวาลและทุกสรรพสิ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงล้วนแต่ชี้ว่า ทุกสรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นอัตตา หรือเป็นสสารทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ เทพนิยายเรื่องการสร้างสรรพสิ่งที่เป็นอัตตาของพระเจ้า จึงเป็นความจริงอยู่ในศาสนาต่างๆ มานานแสนนาน ยกเว้นในศาสนาพุทธที่ปฏิเสธพระเจ้า ในฐานะที่เป็นผู้

1-3 ความเจริญสุดขีดของมนุษย์ย้อนมาเล่นตลกกับมนุษย์

เมื่อวิทยาศาสตร์ได้เจริญสุดขีด ความเจริญสุดขีดของมนุษย์ ได้กลับมาเล่นตลกกับมนุษย์เสียเอง เพราะในที่สุด นักวิทยาศาสตร์สามารถหาเจออนุภาคที่เล็กที่สุดจนได้ เรียกว่า “ควาร์ค” แต่อนุภาคนี้กลับแสดงตัวว่า มันเป็นพลังงานที่อัดกันแน่นเหมือนถูกแช่แข็ง( frozen energy) พูดง่ายๆก็คือ อณูที่เล็กที่สุดของสสารหรือควาร์ค สิ่งนี้เป็นองค์ประกอบของทุกสรรพสิ่ง แต่ทว่า มันไม่ได้เป็นอัตตาหรือเป็นสสาร มันกลับกลายเป็นพลังงาน หรือเป็นอนัตตาไม่ได้มีตัวมีตนแต่อย่างใด การเจอควาร์คครั้งนี้ ผมเชื่อว่า มนุษย์ได้เจอสิ่งที่ก่อเป็นรูป เพื่อลวงจิตของมนุษย์แล้ว สิ่งนั้นก็คือควาร์คนั่นเอง เพราะว่าควาร์คเป็นพลังงาน ไม่มีตัว ไม่มีตน เป็นอนัตตา ด้วยเหตุนี้ ทุกอย่างในจักรวาล ซึ่งมีควาร์คเป็นองค์ประกอบ จึงไม่มีอะไรเลยที่มีตัวตนอยู่จริง ควาร์ค เพียงแต่รวมกลุ่มอัดกันแน่นเหมือนถูกแช่แข็ง ก่อเป็นรูปขึ้นมาเป็นสรรพสิ่งในจักรวาล ทำให้มนุษย์เห็น และรับรู้เสมือนว่า ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลมีตัวมีตน มีกายภาพและเป็นอัตตา ทั้งๆที่ความจริงแล้ว พวกมันไม่มีตัวตน และไม่เคยมีอยู่เลย พวกมันเป็นอนัตตาทั้งสิ้น การเป็นอยู่ของควาร์ค ก็มีวิถีทางที่น่า

1-4 ทำไมฟ้าจึงเปิดเผยความลับยิ่งใหญ่บางส่วนให้ผมรู้

ตำนานหรือนิยายที่ผมเขียน ผมมีความรู้สึกว่า มันอาจจะเป็นข้อเท็จจริงในจักรวาลก็ได้ หรืออย่างน้อยที่สุด ส่วนหนึ่งของเรื่องทั้งหมด มันต้องเป็นความลับของฟ้าที่ปกปิดไว้มานานแสนนาน เป็นไปได้ว่า ผมอาจจะเป็นสามัญชนคนธรรมดาคนเดียวในยุควิทยาศาสตร์ควอนตั้มฟิสิกส์ ที่เป็นผู้ชนะแจ็คพอตเกี่ยวกับพระนิพพาน ฟ้าจึงเปิดเผยความลับนี้ออกมาให้ผมรู้ องค์พระผู้เป็นเจ้าแท้จริง ซึ่งภาคหนึ่งของพระองค์ก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ท่านอาจจะรอผมมา 2548 ปีแล้ว ถึงเวลาสักที ที่มนุษย์จะรู้ความจริงเรื่องพระเจ้าแท้จริงและพระนิพพาน จำได้ไหมว่า ผมได้ยืนยันกับท่านผู้อ่านในหนังสือเล่มแรกว่า ผมได้ผ่านเข้าไปในประตูนิพพานมาแล้ว อันนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ได้เป็นการอุตริมนุสธรรมแต่อย่างใด ผมยืนยันว่า ผมเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญคนหนึ่ง มีความสามารถในการทำสมาธิปานกลาง ความสามารถในการทำวิปัสสนาก็มีเพียงเล็กน้อย แต่ผมดันทะลึ่งทะลวงเข้าไปในประตูนิพพาน ซึ่งเป็นประตูของพระอริยบุคคลชั้นพระอรหันต์ อย่างไรก็ตาม ผมเข้าไปได้แค่ 3-5 นาที จากการละ สละ และอุทิศผลบุญทั้งหมดให้บรรดาพ่อแม่ ญาติพี่น้อง มิตรสหายและศัตรูทุกคน การสละและละเช่นน

2-1 ตำนานหรือนิยายสมัยใหม่หรือความลับของฟ้า เรื่องการสร้างจักรวาลและสรรพสิ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นานเกินกว่าจะจินตนาการ หรือฝันถึงได้ว่านานเท่าไร ตอนนั้นสรรพสิ่งในจักรวาลไม่มีอะไรอยู่เลย มีแต่ความมืดมิด และองค์พระผู้เป็นเจ้าแท้จริง พระเจ้าแท้จริง พระองค์เป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ที่มีอยู่จริงในจักรวาล แต่พระองค์ไม่ใช่สสารพระองค์เป็นจิตและพลังงาน พลังงานของพระองค์เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง พลานุภาพและอำนาจของพระองค์ก็มหาศาลสุดพรรณนาดังได้กล่าวมาแล้วว่า ในจักรวาลนี้ไม่มีสิ่งใดหรืออะไรเลยที่มีอยู่จริง ยกเว้นองค์พระผู้เป็นเจ้า ( แท้จริง ) พระเจ้า ( แท้จริง ) เป็นจิตที่แท้และจิตเป็นที่บริสุทธิ์ ถ้าจะพูดว่า พระองค์มีเพียงพระองค์เดียว หรือจะพูดว่าพระองค์มีกายเป็นจำนวนอนันต์ แต่มีใจเป็นหนึ่งเดียว เป็นใจที่บริสุทธิ์ที่สุด อันใดอันหนึ่งก็ย่อมได้ พระเจ้าแท้จริงมีความเป็นอมตะและมีความเป็นนิรันดร สภาวะของพระเจ้าแท้จริงเป็นสภาวะธรรมชาติที่รู้แจ้ง และเป็นสภาวะที่แจ่มใส พระองค์เป็นอยู่อย่างเป็นสุขหมดจดชั่วกัลปาวสาน พระองค์ไม่มีจุดเกิด ( จุดเริ่มต้น ) ไม่มีการเสื่อม ไม่มีความโศก ไม่มีการเจ็บ ไม่มีการตาย ( จุดสิ้นสุด ) และไม่มีที่สุด ซ้ำยังมีเสถียรภาพสถาพรด้วย อย่างไรก็

2-2 พระเจ้าแท้จริงแบ่งฝ่าย ก่อนเริ่มเล่นเกมส์ปริศนา

พระเจ้าแท้จริง เมื่อพระองค์ได้สร้างจักรวาลและสรรพสิ่งทั้งมวล ขึ้นมาเป็นสนามในการเล่นเกมส์ของพระองค์แล้ว พระองค์ก็ได้สร้างกาลเวลาขึ้นมาด้วย พร้อมๆกับจักรวาล โดยพระองค์กำหนดให้สรรพสิ่งในจักรวาล เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็ยังติดปัญหาของเกมส์อยู่ เพราะว่าพระองค์ซึ่งเป็นพระเจ้าแท้จริง พระองค์ทรงเป็นสัพพัญญู พระองค์ทรงรู้ทุกอย่างและทุกเรื่อง แล้วพระองค์ต้องเล่นเกมส์นี้กับตัวเอง มันจะไปสนุกตรงไหน พระองค์ทรงคิดว่า ถ้าจะให้สนุก พระองค์จำเป็นต้องปิดบังความลับของเกมส์นี้เอาไว้มิให้ส่วนหนึ่งของพระองค์รู้ความจริง ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงสร้างเหล่าวิญญาณขึ้นมา เพื่อห่อหุ้มจิตหรือใจส่วนใหญ่ของพระองค์เอาไว้ หลังจากนั้นพระองค์ก็ทำการแบ่งวิญญาณทั้งหมด ออกเป็น 4 กลุ่ม วิญญาณกลุ่มที่ 1 คือ ตัวผู้เล่น พระองค์ไม่ให้รู้ความจริงอะไรเลย นอกจากนี้ พระองค์ยังรับสั่งให้พวกเขาลืมทุกสิ่งทุกอย่างด้วย พวกเขาจึงจำไม่ได้เลยว่า ตัวของพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าแท้จริง วิญญาณผู้เล่นกลุ่มนี้ จะต้องเล่นเกมส์ปริศนากับพระองค์ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้และปฎิบัติได้จริง โดยทำให้วิญญาณตัวเองบริสุทธิ์ จนถึงขั

2-3 เริ่มเล่นเกมส์อัตตาแท้จริงเป็นอนัตตากับพระเจ้าแท้จริงได้แล้ว

เมื่อพระเจ้าแท้จริงได้กำหนดกติกาการเล่นเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ได้สั่งให้ควาร์คหรือกายธรรมชาติส่วนหนึ่ง นำธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม และไฟเข้ามาผสมกัน และก่อรูปขึ้นมาเป็นร่างกาย หลังจากนั้น พระเจ้าแท้จริงก็ได้สั่งให้วิญญาณแต่ละดวงเข้าไปอยู่ในร่างหรือกายแบบนั้น พระองค์เรียกร่างที่บรรจุวิญญาณเหล่านี้ว่า “มนุษย์” มนุษย์จำต้องอยู่ในจักรวาล ซึ่งเป็นสนามการเล่นของพระเจ้าแท้จริง พร้อมๆกับสิ่งลวงต่างๆ รอบๆตัวเขา เมื่อครั้งที่จิตทั้งหมดยังเป็นพระเจ้าแท้จริงอยู่ เพื่อให้เกมส์มีรสชาติมากขึ้น พระเจ้าแท้จริงจึงได้สร้างพรหมโลก สวรรค์ - นรก และวางกฎแห่งกรรมขึ้นมา สวรรค์ทำหน้าที่ให้รางวัลล่อใจมนุษย์ผู้ทำความดี โดยพระเจ้าฝ่ายขาวหรือพระเจ้าฝ่ายอัตตาเป็นผู้ดูแล พระเจ้าฝ่ายอัตตาจะทำหน้าที่ดึงผู้เล่นที่หลงในรางวัลสวรรค์ เข้ามาเป็นพวกให้มากที่สุด ส่วนนรกทำหน้าที่ตรงกันข้ามคือ ลงโทษมนุษย์ที่กระทำความชั่ว โดยพระเจ้าฝ่ายดำหรือซาตานเป็นผู้ดูแล พระเจ้าฝ่ายดำหรือซาตาน ต้องพยายามดึงผู้เล่นที่หลงในการทำชั่ว ให้เข้ามาเป็นพวกให้มากที่สุด พูดง่ายๆ ทั้งสวรรค์ - นรกและกฎแห่งกรรม แม้แต่พรหมโลก ทั้งหมดทำหน้าที่เป็นตัวหลอ