A A

9-2 นิพพานไม่สามารถแปลความว่า “ศูนย์” หรือ “ไม่มีอยู่” เป็นอันขาด

ศาสนาพุทธในเมืองไทยเป็นฝ่ายหินยาน พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นองค์พระศาสดา ไม่ได้ตรัสสอนถึงเรื่องพระเจ้าอย่างละเอียด แต่พระองค์ก็ไม่เคยตรัสปฏิเสธว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า(แท้จริง)ไม่มี ถ้าท่านให้ความหมายของคำว่า “พระเจ้า(แท้จริง)” อย่างถูกต้อง เพราะคนในยุคนั้นหรือแม้แต่ในยุคนี้ ไปใส่พระเจ้าไว้ในฐานะผู้สร้างสสารหรือสรรพสิ่งในจักรวาลที่เป็นกายภาพหรือมีอัตตา อันนี้ไม่ถูกต้อง
พระพุทธองค์ไม่สามารถหาคำในภาษาสมัยนั้น มาอธิบายสภาวะของพระเจ้า(แท้จริง)ได้ นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังต้องการเพียงสอนทางแห่งการพ้นทุกข์เท่านั้น ไม่ต้องการไปเปลี่ยนแปลงนิยามของคำว่า “พระเจ้า(แท้จริง)” ที่ไปขัดแย้งกับความเชื่อของประชาชนในอินเดียในยุคนั้น และยังขัดแย้งกับความเชื่อของคนทั้งโลกตลอด 2500 ปีที่ผ่านมา
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงแค่ปูทางเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ก่อน โดยใช้คำว่า “นิพพาน” แทนสภาวะของพระเจ้า และสอนเรื่องอัตตา-อนัตตาเอาไว้เท่านั้น เพราะพระองค์ทรงทราบว่า ถ้าพระองค์ไปอธิบายคำว่าพระเจ้าอย่างตรงไปตรงมาในยุคนั้นว่า พระเจ้าแท้จริงไม่เคยสร้างสิ่งที่มีอัตตาขึ้นมาเลย เพียงคำพูดแค่นี้ ก็อาจจะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้นในอินเดียและทั่วโลก และอาจจะทำให้ศาสนาพุทธ ต้องมีอันจบเห่ไปก่อนถึงวัยอันสมควร
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงเลือกใช้คำพูดที่ดีที่สุดที่จะหาได้ และไม่ขัดกับความเชื่อ
ของชาวอินเดียและของชาวโลก พระพุทธองค์ตัดสินใจใช้คำว่า “ธรรมชาติที่รู้แจ้ง” เป็นความหมายที่หมายถึงนิพพาน หรือสภาวะของพระเจ้า
ในสุตตันต ทีฆนิกาย เกวัฏฏสูตร พระพุทธองค์ได้ทรงอธิบายว่า
“ ธรรมชาติที่รู้แจ้ง คือ พระนิพพาน ไม่มีใครชี้ให้ดูได้ ไม่มีที่สุด
แจ่มใสโดยประการทั้งปวง … … …เพราะวิญญาณดับ
นามและรูปจึงดับไป ไม่เหลือในธรรมชาตินี้ ”
กว่า 2548 ปี ที่พระพุทธองค์รอให้มนุษย์เจริญพอที่จะสามารถค้นหา ความจริงเรื่องพระเจ้า(แท้จริง) และสภาวะของพระเจ้า(แท้จริง)ให้ได้ก่อน จนสามารถนำคำสอนเรื่องอัตตา-อนัตตาและเรื่องนิพพาน ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนปูทางไว้แล้ว ไปให้ความหมายของคำว่า “พระเจ้า (แท้จริง)” อย่างถูกต้อง
ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้รับหน้าที่ อธิบายความหมายของคำว่า “พระเจ้า(แท้จริง)” แบบใหม่เป็นคนแรก แม้ว่าวิวัฒนาการต่อมายังอีกยาวไกลมาก กว่าที่ศาสนาต่างๆ และวิทยาศาสตร์จะมาบรรจบกันได้ จนกระทั่งไม่มีความขัดแย้งเรื่องความหมายของคำว่า
“พระเจ้า (แท้จริง)” อีกต่อไป
ถ้าชาวพุทธฝ่ายหินยานท่านใด จะรุมโจมตีความเห็นของผม ผมก็ไม่ว่าอะไร แต่ผมหวังว่า พวกท่านจะได้อ่าน และพิจารณาให้รอบคอบก่อนว่า สิ่งที่ผมนำเสนอไปในหนังสือเล่มนี้ มันเป็นความจริงไหม
จากคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้า และเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ทั้งหมดชี้อย่างชัดเจนว่า เมื่อมองในแง่โลกิยะหรือมองทางโลก พระพุทธองค์และบรรดาสาวกที่นิพพานไปแล้ว พวกท่านได้สลายกลายเป็นศูนย์ไปแล้ว เพราะขันธ์ 5 และธาตุ 4 ของพวกท่านไม่มีอะไรเหลืออยู่ นอกจากนี้ จิตของพวกท่านได้สำรอกอวิชชาทิ้งไปหมดแล้ว การเวียนว่ายตายเกิดอันเป็นผลมาจากปฏิจจสมุปบาท จึงไม่มีอยู่อีก
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองความจริงในแง่ปรมัตถ์สัจจะ พวกท่านเหล่านี้ ไม่มีทางหายกลายเป็นศูนย์ไปได้เหมือนตัวเลข 0 ตามปกติ เพราะนิพพานที่สำแดงออกเป็นศูนย์นี้ เป็น “0” อันมหัศจรรย์ยิ่งนัก เนื่องจากมันมีอยู่ แต่ไม่ได้เป็นอัตตา หรือมีตัวตนเป็นสสาร แต่มันมีอยู่ในรูปพลังงานแห่งจิตอันสุดบริสุทธิ์และเป็นความจริงแท้ที่อยู่ในรูปอนัตตา เป็นพลังงานของพระเจ้า(แท้จริง) และมีสภาวะของพระเจ้า(แท้จริง)อยู่
จากการตรัสสอนของพระพุทธองค์ ทำให้ตีความได้ว่า สภาวะของพระเจ้านั้นแท้จริงก็คือ พระนิพพานนั่นเอง ซึ่งสภาวะนี้เป็นภาวะของจิตที่รู้แจ้ง พระพุทธองค์ทรงอธิบายว่า นิพพานเป็นธรรมชาติที่รู้แจ้ง สภาวะที่แจ่มใส และเป็นสุขอันหมดจด อมตะนิรันดร์ มีอานุภาพเหนือกว่าสุขทั้งปวง ไม่มีจุดเกิด(จุดเริ่มต้น) ไม่มีการเสื่อม ไม่มีความโศก ไม่มีการเจ็บ ตั้งอยู่ ไม่แปรปรวน มีเสถียรภาพสถาพร ไม่มีความตาย(จุดสิ้นสุด) และไม่มีที่สุด
หรือถ้ากล่าวในอีกแง่หนึ่งก็จะได้ว่า นิพพานเป็นสภาวะที่มีความสุขอย่างยิ่งยวดเกษมจากโยคะ ปราศจากความทุกข์ และไม่มีนามรูป
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราพูดถึงพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว เราต้องแยกออกให้ได้ว่า เรากำลังพูดถึงความจริงทางโลก หรือความจริงในขั้นปรมัตถ์สัจจะ พวกท่านที่ยังหลงทางอยู่ พวกท่านควรรับรู้ได้แล้วว่า องค์พระศาสดาหรือพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านได้กลับกลายเป็นพระเจ้า(แท้จริง) และเข้าไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า(แท้จริง)แล้ว ตั้งแต่เมื่อ 2548 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ แม้ว่าศาสนาต่างๆยังให้ความหมายของคำว่า “พระเจ้า(แท้จริง)” และเล่าเรื่องการสร้างสรรพสิ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า(แท้จริง)ผิดพลาด เพราะจิตของมนุษย์หลงไปคิดเองว่าสรรพสิ่งในโลกและในจักรวาล มีกายภาพและเป็นอัตตาจริงๆ พูดง่ายๆพวกเขาต่างพากันคิดว่า มีตัวกู ของกู อยู่จริงๆ
อย่างไรก็ตาม เวลาที่พวกเขาพูดถึงพระเจ้า(แท้จริง) ความรู้สึกในใจของพวกเขา พวกเขาก็หมายถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง โดยไม่ได้ใส่ใจว่า พระองค์จะสร้างสรรพสิ่งในจักรวาลขึ้นมาอย่างไร

ความคิดเห็น