A A

8-2 ผมจำคำสาบานตัวเองไม่ได้

น้องชายของผมกลับมาเมืองไทยเมื่อเร็วๆนี้ ผมพยายามเล่าเรื่องธรรมะขั้นสูงสุด คือขั้นโลกุตระให้เขาฟัง แต่ใจของเขายังหลงอยู่ในความจริงขั้นโลกิยะ โดยเฉพาะศีล 5 ซึ่งเขาอ้างว่า ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่แน่นอนตายตัวถาวร ผมเลยบอกกับเขาไปว่า ศีลเกิดจากจิตที่เห็นว่า เรื่องที่ทำนั้น มันเป็นกุศลหรือไม่เป็นกุศล ถ้าตอนที่ทำจิตมันเห็นว่า เรื่องนี้เป็นกุศล แม้มันจะผิดศีล 5 เช่นไปขโมยของ หรือฆ่าทหารข้าศึกตาย มันก็ไม่ได้ถือว่าเป็นบาปแต่บางครั้งอาจจะเป็นบุญด้วยซ้ำ นี่เป็นความจริงในขั้นโลกุตระ
ผมบอกน้องชายผมไปว่า ความรู้ที่ผมได้รับ ผมไม่ได้คิดไปเอง แต่เป็นความรู้จาก
พระพุทธเจ้าหรือองค์พระผู้เป็นเจ้าแท้จริง พระองค์ท่านเป็นผู้สอนผมทางจิต น้องของผมหาว่า
ผมไร้สาระจริงๆ
จู่ๆ ผมก็ตั้งใจเอ่ยปากสาบานในสิ่งที่เล็กน้อยว่า ถ้าสิ่งที่ผมกล่าวกับเขา เป็นความคิดมาจากมันสมองของผม ไม่ได้มาจากคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้าในจิตของผม ผมยอมตกนรก
ท่านเชื่อหรือไม่ว่า หลังจากนั้นไม่กี่นาที ผมก็จำไม่ได้เลยว่า เรื่องที่ผมสาบานไว้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ผมจำได้แต่เรื่องก่อนและหลังจากนั้น แต่เรื่องที่จุดนั้น ผมพยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก ใจผมก็กลัวตกนรกเหมือนกัน แต่จะให้นึกให้ออก ผมกลับทำไม่ได้
ผมพยายามนอนคิดทั้งคืน ก็คิดไม่ออกว่า เรื่องที่ผมสาบานคือเรื่องอะไร ก่อนตื่นนอนในตอนเช้า ในใจของผม เหมือนกับมีใครมาชี้นำทางจิตว่า ถ้ายมบาลถาม ให้บอกยมบาลไปว่า พระพุทธองค์ตรัสว่า “ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา” ความคิดที่เกิดขึ้นมาในจิตของผมนี้ ผมรู้ว่า ผมไม่ได้คิดขึ้นมาเอง
พระพุทธองค์และพระอรหันต์ทุกองค์ที่นิพพานไปทั้งหมด ท่านได้กลับกลายเป็นพระเจ้า(แท้จริง)แล้ว พวกท่านอยู่ในจิตของมนุษย์ทุกคน
ทันใดนั้นเอง ผมได้เข้าใจในสิ่งที่ตนเองสงสัยและอยากรู้มานานทันที ผมขอใช้คำพูดให้สวยๆหน่อย ( ไม่ได้ต้องการละลาบละล้วงนะครับ ) คือ ผมได้ตรัสรู้คำตอบของความลับ 3 เรื่อง เรื่องแรกคือ เรื่องวิญญาณของตี่ ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชน และไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาไปเป็นคาทอลิก แล้วตี่ได้เข้าไปในสวรรค์ของพระเจ้าในศาสนาคริสต์ได้อย่างไร คำตอบก็คือ เพราะว่าตี่ได้พบพระเจ้าแท้จริงแล้วนั่นเอง พระองค์ไม่ได้แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายเหมือนมนุษย์ ใจของพระเจ้าแท้จริง พระองค์มีใจเดียวคือ ใจหรือจิตที่บริสุทธิ์ แต่พระวรกายหรือกายของพระองค์ มีจำนวนเป็นอนันต์ มนุษย์เองเป็นผู้แบ่งฝักแบ่งฝ่ายให้พระองค์ เพื่อจุดประสงค์ของพวกเขา
ผมไม่อยากบอกตรงๆว่า ตี่เจอใคร ถ้าผมบอกว่า ตี่ได้เจอพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ไม่ได้มีหน้าตาเหมือนคนอินเดีย แต่พระองค์สำแดงพระวรกายออกมา เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งที่มีหน้าตาเหมือนคนไทย เช่น เหมือนหลวงปู่ทวด ผมก็ไม่แน่ใจว่า พุทธศาสนิกชนจะยอมรับหรือไม่ หรือถ้าผมบอกว่า ตี่ได้เจอพระเจ้าแท้จริง ที่มีหน้าตาเป็นยิว คือ พระยะ … … ขอประทานโทษที่เอ่ยพระนามของพระองค์ท่านไม่ได้ เพราะมนุษย์ทั่วไป ไม่ได้มีจิตอันบริสุทธิ์พอ ที่จะเห็นความจริงขั้นปรมัตถ์สัจจะ โดยเฉพาะขั้นองค์พระผู้เป็นเจ้า(แท้จริง) ด้วยเหตุนี้ผมเกรงผู้คนในศาสนาอื่นหรือแม้แต่ในศาสนาพุทธ อาจจะรุมเล่นงาน หาว่าคำพูดของผมเป็นการดูถูกเบื้องสูง หรือไม่พวกเขาก็อาจจะโต้แย้งกับผมอย่างโกรธแค้น
เอาเป็นว่า ตี่ได้เจอพระเจ้าแท้จริงก็แล้วกัน ผมเองก็ต้องยอมจำนนกับพระองค์เหมือนกัน เพราะผมได้พบพระเจ้าแท้จริงด้วย ทั้งๆที่ผมไม่เคยคิดว่า ผมจะได้พบพระเจ้าแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาสนาพุทธนิกายหินยาน ซึ่งอาจารย์สอนวิชาศาสนาของผมได้สอนผมว่า ศาสนาพุทธไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า และผู้เชี่ยวชาญและพระในฝ่ายหินยาน พวกท่านก็ยืนยันเช่นเดียวกัน
แต่บัดนี้ ผมได้กลายเป็นศิษย์ล้างครู และล้างความเชื่อของพระผู้หลักผู้ใหญ่ไปเสียแล้วเพราะผมได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้า(แท้จริง) จากการช่วยเหลือของพระคัมภีร์ไบเบิล ท่านคงคิดว่าผมคงบ้า หรือหลุดโลกไปแล้ว ก่อนที่ผมจะเขียนหนังสือเล่มนี้ ผมก็ได้ตัดสินใจไปหลายครั้งว่า ผมจะไม่ทำเล่ม 2 อย่างเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้ศาสนาพุทธแตกแยก และไม่เป็นที่พอใจอย่างมากกับศาสนาอื่น
แต่สุดท้าย ผมก็จำเป็นต้องเขียนหนังสือเล่มนี้ ทั้งนี้เพื่อเปิดเผยความจริง ที่ถูกปิดบังมานานถึง 2548 ปี ต้องมีผู้อ่านจำนวนไม่น้อย ที่มีดวงตามองเห็นความจริงขั้นปรมัตถ์สัจจะ(ความจริงสูงสุด) และมีความอยากรู้อยากเห็น ต้องการรู้ความจริงเรื่องนิพพานและพระเจ้า(แท้จริง) เช่นเดียวกับผมเหมือนกัน
เอ้า! ว่าไปนอกเรื่องเสียยาว เข้าเรื่องเสียที องค์พระผู้เป็นเจ้า(แท้จริง) พระองค์ท่านมีพระมหากรุณาเหลือเกิน ท่านกลัวว่า จิตของผมในบางครั้งจะไปติดยึดความจริงขั้นโลกิยะ ซึ่งอาจจะนำวิญญาณของผมไปตกนรก ท่านจึงทำให้วิญญาณ ที่เป็นตัวบันทึกเรื่องราวต่างๆของผม เกิดการ error(คลาดเคลื่อน) ขึ้นในจุดที่ผมสาบาน นอกจากนี้ พระองค์ท่านยังอาจเกรงว่า ยมบาลอาจสามารถวิเคราะห์เทปวิญญาณผมได้และพบคำพูดสาบานของผม จิตของผมก็จะเกิดเป็นอกุศลจิตอีก เลยต้องตกนรกจริงๆ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงนำคำตรัสสอนของพระองค์ท่าน ที่ผมเคยได้ยินมาในอดีตเมื่อหลายสิบปีที่แล้วมาเตือนผมทางจิตว่า “ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา(ตถาคต) ” จิตของผมจะได้ไม่ต้องวิตก และจะได้ไม่มีอกุศลติดอยู่
ความเข้าใจเรื่องที่สองของผม ที่เกิดขึ้นทันที เมื่อผมได้ยินคำสอนในจิตของผมว่า “ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต(เรา) ” ก็คือความเข้าใจเรื่อง กลไกที่นำไปสู่นรกภูมิ ซึ่งเป็นกลไกทางจิต ถ้าใจหรือจิตของผมเป็นอกุศล ผมจะตกนรกจากคำสาบานของผม เพราะผมคงเอาพระพุทธองค์ตัวจริงมาเป็นพยานไม่ได้ และจิตของยมบาลเขาก็คงเข้าไม่ถึงปรมัตถ์สัจจะ เขาอาจไม่เข้าใจเรื่องธรรมที่อยู่ในจิต ดังนั้นเขาอาจจะซี้ซั้วลงโทษผม โดยจับผมโยนเข้าไปในไฟนรก แต่ผมก็มั่นใจว่า ไฟนรกนั้นไม่มีทางเผาผลาญผมได้ ด้วยจิตของผมเป็นกุศล เพราะผมเชื่อจริงๆว่า พระพุทธองค์อยู่ในจิตของผมในช่วงเวลานั้น คำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่า “ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต(เรา)” จะอยู่ในจิตผมตลอดไป นี่แหละคือ สุดยอดของความจริงในขั้นปรมัตถ์สัจจะ พระพุทธองค์ยังทรงตรัสสอนมนุษย์อยู่โดยทางจิต ถ้ามนุษย์คนนั้นมีแววเห็นธรรมะของพระองค์
ด้วยคำตรัสสอนทางจิตจากพระพุทธองค์ ผมจึงสามารถรู้ความจริงในเรื่องที่ 3 ด้วยคือเรื่องรหัสลับระหว่างศาสนา ซึ่งท่านจะอ่านได้จากบทเรื่องปัญหาธรรม ที่ค้างคาใจมานานแสนนาน ผมย้ำว่า จิตของผมไม่มีทางเป็นอกุศลจากคำสาบาน ที่อ้างเอาพระพุทธเจ้ามาเป็นพยาน แต่จะเป็นกุศล เพราะผมเชื่อเช่นนั้นจริงๆ แม้แต่ในขณะที่เขียนเรื่องนี้อยู่ ด้วยเหตุนี้ กลไกแห่งนรกภูมิ จึงไม่สามารถนำไฟนรกใดๆ มาทำอะไรผมได้เลย เรื่องนี้ท่านจะเชื่อหรือไม่ เป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้
ผมต้องขอกราบขอบพระคุณองค์พระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงเปิดปัญญาความเข้าใจเรื่องธรรมะครั้งยิ่งใหญ่ให้ผมทางจิต คำสอนในพุทธศาสนามีมากมาย ผมจำไม่ได้ และไม่อยากจำด้วย แต่คำตรัสสอนของพระพุทธองค์ในจิตของผม แค่เพียงท่อนเดียวคือ “ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา (ตถาคต) ” กลับทำให้ผมแตกฉานและเข้าใจได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้

ความคิดเห็น