A A

8-1 อะไรคือกุศล อกุศล บุญ และบาป

แม้ว่าผมไม่ใช่พระ และก็ไม่ใช่บุคคลที่มีความรู้ดีมากในเรื่องศาสนาพุทธ และพระไตรปิฎก ผมเป็นเพียงนักปฏิบัติ และก็ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงนิพพานถาวรด้วย แต่เป็นการปฏิบัติเพื่อให้จิตมันสงบๆ ไม่ติดหลงใหลอยู่ในกิเลส และไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกูมากเกินไป
แต่เมื่อฟ้าได้ลิขิตให้ผมเขียนเรื่องกุศล อกุศล บุญ และบาป ซึ่งเป็นการเขียนออกจากจิตของผมโดยตรง โดยไม่ต้องไปอ้างอิงอะไรเลย ผมก็ต้องลองเขียนดูความจริงผมเป็นคนไม่ค่อยสนใจและไม่ค่อยใส่ใจ ในหลักการใดๆ ที่เป็นศีล 5 ศีล 8 หรือศีลแบบอื่นเท่าไรนัก เพราะผมเห็นว่า เรื่องศีลมันเป็นแค่ความจริงในขั้นโลกิยะ การท่องจำแล้วละเว้น ผมเห็นว่าเป็นการฝืนใจทำ
ผมไม่ต้องการฝืนใจตัวเอง โดยเอาบทบัญญัติใดๆ มาบังคับใจตนเอง ผมใช้ความบริสุทธิ์ของจิตใจเป็นตัวกำหนดว่า สิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ เราเพียงแต่รู้ตัวเองอยู่ในจิตหรือในมโนธรรมว่า สิ่งนี้ไม่ควรทำ ผมก็ไม่ทำ เช่น จิตของเราบอกว่า การขโมยเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เป็นการเบียดเบียนผู้อื่น จะต้องมีผู้เดือดร้อนแน่ จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ จิตของเราจึงเห็นว่า การขโมยนั้น เป็นเรื่องอกุศลและบาป เราก็ไม่ทำ เท่านี้มันก็หมดปัญหา
แต่ขโมยบางคน เขาเห็นลูกไม่มีข้าวกิน หิวมาก เขาเลยขโมยข้าวไปให้ลูกกิน ผมเห็นว่า จิตของเขาในจุดนั้น เป็นจิตที่ไม่ได้เป็นอกุศล แม้จิตสำนึกของเขาจะบอกว่าผิดกฎหมายไม่ควรทำ แต่จิตใต้สำนึกของเขาบอกเขาว่า การขโมยครั้งนี้เขาต้องทำเพื่อลูก เขาเลยขโมยด้วยเหตุนี้ ผมจึงชื่นชมเขามาก
ปัญหาคือ เมื่อเขาเริ่มขโมยครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็ต้องทำอีก ใน 10 ครั้งที่เขาขโมย มีความเป็นไปได้น้อยมากที่ว่า จิตใต้สำนึกของเขาจะไม่นึกเป็นอกุศลเลย อาจจะมีแค่ 1 ครั้งที่มันเป็นอกุศล บาปก็เลยเกิดขึ้นแล้ว ผมคิดว่าด้วยเหตุดังกล่าว พระพุทธองค์จึงตรัสสอนเรื่องศีล 5 เพราะมีโอกาสน้อยมากที่คนที่ทำผิดศีล 5 จะไม่คิดเป็นอกุศลทุกครั้งที่เขากระทำลงไป ยิ่งถ้าทำไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วจิตมันก็จะเป็นอกุศล และถูกอกุศลครอบงำในที่สุด ซึ่งจะทำให้วิญญาณของเขา ต้องตกเข้าไปสู่อบายภูมิเมื่อตายไป หรือไปรับผลในชาติหน้าตามกฎแห่งกรรม
ในขั้นโลกุตระธรรม จิตสำนึกและใต้สำนึกของเขา ณ เวลานั้น จะติดสินเองว่า การกระทำนั้นเป็นกุศลและเป็นบุญ หรือเป็นอกุศลหรือเป็นบาปกันแน่ ถ้าจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกของเขามันขัดแย้งกัน ผมเข้าใจว่า มโนธรรมในจิต ไม่ว่าจะเป็นจิตใต้สำนึก หรือจิตสำนึกก็ตาม น่าจะไปตัวชี้ขาดว่า เรื่องนี้เป็นกุศลหรืออกุศล
เพื่อความเข้าใจให้กระจ่างชัดขึ้น ผมจึงขอเปิดประเด็นเรื่องกุศล อกุศล บุญ และบาปเลย ผมย้ำว่าความเข้าใจต่างๆมาจากจิตของผมทั้งสิ้น ถ้าผิดพลาดอะไรลงไป ขอให้ท่านผู้รู้ได้โปรดอภัยให้ผมด้วย
จิตมี 3 ประเภท
จิตมี 3 ประเภทใหญ่ๆคือ จิตที่เป็นกุศล จิตที่เป็นอกุศล และจิตที่เป็นกลาง ไม่ยึดติดว่ามันกุศลหรืออกุศลหรือเปล่า เพียงแต่รู้เท่านั้นเองว่า ทางนี้เป็นทางที่ถูกต้องที่ต้องเดินไปเท่านั้น มนุษย์ที่สร้างแต่กรรมชั่วไว้ จิตใต้สำนึกและจิตสำนึกของเขา จะนึกได้แต่เรื่องชั่ว หรือเรื่องบาปกรรมที่เขากระทำลงไป จิตของเขาจึงเป็นอกุศล เมื่อตายลง เขาจึงไปอยู่ในภูมิต่ำตามสภาพจิตของเขา หรือก็คืออบายภูมิ ได้แก่ ภูมิของอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เปรต และนรกภูมิ
ในทางตรงกันข้าม คนที่ทำแต่ความดีเป็นนิจ เมื่อเขาตายลง จิตใต้สำนึกและจิตสำนึกของเขา จะนึกถึงแต่กุศลที่เขาได้สร้างขึ้น เรียกว่า “บุญ” เขาถึงได้ไปสู่ภพภูมิสวรรค์ หรือเรียกว่า “เทวภูมิ” ที่ตรงกับสภาพจิตของตัวเอง
คนที่มีจิตที่เป็นกลาง เป็นผู้ยินดีในสมาธิ ฌาน หรือเป็นพระอริยะเจ้าระดับพระอนาคามี หรือผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จิตเหล่านี้จะอยู่ในรูปภพหรือภพภูมิชั้นพรหมขึ้นไปจนถึงชั้นอรหันต์ หรือสภาวะขององค์พระผู้เป็นเจ้า(แท้จริง) ผมเข้าใจว่า จิตของพระอนาคามีและพระอรหันต์ ท่านทำอะไรลงไป จิตของพวกท่านมิได้ถือว่านี่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ท่านถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ ผมเข้าใจว่า ภาษาพระเรียกว่า เป็นแค่กิริยาเท่านั้น ส่วนคนที่มีจิตอยู่ในชั้นพรหม คงจะมีการกระทำในบางครั้งเท่านั้นที่เป็นแค่กิริยา ส่วนใหญ่จิตคงจะมีกุศลอกุศลติดอยู่ เพราะพวกท่านตัดกิเลส ตัณหา และอุปทาน ยังไม่ขาด
วาระจิตหรือความคิดสุดท้ายของจิต ก็มีผลอย่างมากเหมือนกัน ถ้าจิตตอนนั้นเป็นอกุศลจิต แม้ว่าคนผู้นั้นอาจจะเป็นคนดีมาตลอดชีวิต วาระจิตที่เป็นอกุศลก่อนตาย ก็สามารถนำวิญญาณดวงนั้นไปสู่อบายภูมิ แม้แต่ไปนรกภูมิก็ได้ แต่จะเป็นตกนรกเพียงชั่วคราวเท่านั้น เช่น 7 วัน เป็นต้น หลังจากนั้นเขาก็จะได้ขึ้นสวรรค์ เป็นไปตามกุศลจิตจากการกระทำความดีของเขา
ถ้าจิตนั้นเป็นจิตที่มีทั้งกุศลและอกุศลคละกันไป และได้กระทำทั้งบาปและบุญ ที่มีผลค่อนข้างแรงมาก วิญญาณของเขาน่าจะถูกนำไปล้างบาปในภูมิต่ำก่อน แล้วค่อยมาเสวยสุขในสวรรค์ หลังจากนั้นก็จะถูกปล่อยมาในโลกและในจักรวาล เพื่อไปจุติใหม่ และหาทางออกจากเกมส์อัตตา-อนัตตาของพระเจ้าแท้จริงอีกครั้ง
จิตที่มีทั้งกุศลและอกุศลคละกันไปนั้น และไม่ได้ส่งผลรุนแรงนัก ขึ้นสวรรค์ก็ไม่ได้และจะลงสู่อบายภูมิอย่างชัดเจนก็ไม่ได้ วิญญาณดวงนั้นน่าจะรออยู่ในภพที่ใกล้โลก ตามหนังสือของผมเล่มที่แล้ว ตอนนั้นผมยังไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ผมระบุไปว่าคือสวรรค์ชั้น 1/3 1/2 แต่หลังจากนั้น ผมได้ศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจังมากขึ้น ผมจึงจัดภพภูมิใหม่ในหนังสือเล่มนี้ ภพภูมิแห่งการรอคอยการเกิดใหม่ ที่ผมเคยจัดว่าเป็นสวรรค์ชั้น 1/3 1/2 ในหนังสือเล่มแรก ในหนังสือเล่มนี้ ก็คือชั้น 0/+1 และ 0/-1
ผมย้ำอีกทีว่า ภพภูมิทั้งสอง เป็นภพภูมิแห่งการรอคอยไปเกิดใหม่ วิญญาณจะมีกิน มีอยู่ มีใช้ ตามผลบุญที่ได้ทำมา 0/+1 คือทำบุญมามากหน่อย 0/-1 คือทำบุญมาน้อยหน่อย พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้ไปอยู่ในสวรรค์ หรือเทวภูมิ และก็ไม่ได้ตกลงไปอยู่ในอบายภูมิแต่อย่างใด
การสำนึกความผิดในบาปที่ท่านได้กระทำลงไป เมื่อมีโอกาส และการสำนึกบาปนั้น ต้องเป็นการสำนึกบาปจากใจเท่านั้น จึงจะทำให้วิญญาณของท่านปลอดภัย ไม่ต้องถูกนำไปล้างบาปในอบายภูมิ การสำนึกบาปที่เป็นเพียงคำพูด ไม่มีผลทำให้วิบากกรรมในปรโลกของท่านหมดสิ้นไป
วิญญาณที่ไปอยู่ในสวรรค์จนเพลิน พบแต่ความสุข วิญญาณเหล่านี้จะพึงพอใจแต่ในความสุข เมื่อเขามาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ในโลก จิตใต้สำนึกของเขายังรับรู้ถึงความสุขความสบาย ที่ตนเองเคยได้รับจากสวรรค์ ดังนั้น เขาจึงมีโอกาสทำบาปและอกุศล เพื่อให้ตนเองสุขสบายอีก โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมและความถูกต้อง หลังจากเขาตายไปแล้ว เขาจึงมีโอกาสตกลงสู่อบายภูมิ มากกว่าวิญญาณที่เคยรับโทษในอบายภูมิมาก่อน และได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ เพราะพวกเขาเหล่านี้ ยังคงรับรู้ถึงวิบากกรรม ที่พวกเขาเคยได้รับในอบายภูมิ มันซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขา ทำให้เขากลัวในการทำบาป มากกว่ากล้ากระทำบาป
ส่วนใหญ่ในขั้นโลกิยะธรรม หรือขั้นศีล 5 บุญกับกุศลมักไปด้วยกัน ส่วนบาปกับอกุศลก็มักอยู่ด้วยกันเช่นกัน แต่ในขั้นโลกุตรธรรมหาเป็นเช่นนั้นไม่ ผมไม่ตำหนิองค์พระผู้เป็นเจ้า(แท้จริง)หรอก ที่ให้ผมรู้ความจริงข้อนี้ โดยวิธีการที่มหัศจรรย์และเสียวไส้มากทีเดียว สำหรับดวงวิญญาณของผม ถ้าผมคิดไม่ออก สมองยังทึ่มอีก งานนี้มีหวังผมต้องตกนรกถาวร

ความคิดเห็น