A A

6-5 การเลือกทำความดีและการทำบุญทำทานของผม

ผู้ที่อ่านหนังสือ ผีอำ ตอนประตูลับสู่โลกวิญญาณของผมเล่มที่แล้ว โทรมาหาผมเฉลี่ยวันละ 4-5 คน ในช่วงเวลาแค่ 2 เดือน หลังจากผมเริ่มแจกจ่ายหนังสือ ผมรับสายไปทั้งหมดระมาณ 250 คน ผมดีใจเหลือเกิน ที่ผู้อ่านส่วนใหญ่เชื่อในเรื่องที่ผมเขียน มีผู้อ่านจำนวนมากทีเดียวที่เคยถูกผีอำ บางคนยอมรับว่า เขาหรือคนในครอบครัวเคยถูกผีสิงด้วย
อย่างไรก็ตาม มีผู้เชื่อก็ต้องมีผู้ไม่เชื่อ ผู้ไม่เชื่อผมบางคนคิดว่า ผมเป็นโรคจิตหลอนอย่างรุนแรง หรือเป็นบ้ามั๊ง เขาถามผมถึงยาอะไรที่ผมใช้รักษาตัวอยู่ อันนี้ผมไม่ว่า และไม่โกรธอะไรเขา มันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ที่จะเลือกเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรก็ได้ ผมแค่พยายามเตือน และบอกความจริงให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน รับทราบว่า โลกวิญญาณของจริงที่ผมสัมผัสได้ เป็นอย่างไรเท่านั้นเองแต่ผมจะไปบังคับให้ใครเชื่อ และทำแต่ความดีไม่ได้หรอก ทั้งหมดมันอยู่ที่ใจของแต่ละคน ผมได้แต่หวังว่า คนที่ไม่เชื่อผม ไม่ได้เป็นคนชั่วช้าสารเลวอย่างมาก จนไม่มีทางกลับตัวกลับใจได้ เท่านี้ผมก็พอใจแล้ว
เพื่อนของผมที่เรียนหนังสือมาด้วยกัน ยังไม่ยอมเชื่อผมเลยว่า ผมจะยอมเสียเงิน 400,000 บาท และแจกหนังสือฟรี เพียงเพราะผมต้องการช่วยเพื่อนร่วมโลก ( ที่จริงคือเพื่อนร่วมชาติ ) ให้รู้ความจริงบางส่วนในโลกวิญญาณที่ผมได้สัมผัส เขาคิดว่าผมต้องหาผลประโยชน์อันใดอันหนึ่ง ที่เกี่ยวกับเงินหรือชื่อเสียง หรืออะไรสักอย่างหนึ่งแน่นอน
เรื่องการให้ธรรมทานเป็นกุศล เขาเชื่อว่า ผมไม่มีทางทำหรอก เขาบอกว่าเขารู้จักผมดี ถ้าผมไปบอกเขาว่า หนังสือผีอำประตูลับสู่โลกวิญญาณของผมเล่ม 2 ที่ท่านถือในมืออยู่นี้ ผมก็ตั้งใจแจกฟรี ผมว่าเขาคงยิ่งไม่เชื่อหนักเข้าไปอีก ถ้าคำสาบานที่อยู่ในหนังสือของผมเล่มแรก และการสละเงินของผมเพื่อพิมพ์หนังสือแจกฟรี ยังไม่สามารถทำให้คนบางคน เชื่อในความจริงใจของผม เขาบวกลบคูณหารดูแล้ว เขาเชื่อว่า ผมต้องผมต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังแน่ๆ
เมื่อเขามองผมในแง่ร้ายแบบนี้แล้ว ผมเองก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ผมก็ต้องชี้แจงเหตุผลแบบเศรษฐศาสตร์ให้คนที่ไม่เชื่อผม และคิดทุกอย่างเป็นเรื่องของผลประโยชน์ฟังให้ได้ว่า ผมแจกหนังสือฟรี และเสียเงินไปเพื่อการนี้ทำไม โดยผมต้องคำนวณต้นทุน ผลประโยชน์ และกำไรขาดทุนในการหันมาทำความดีของผมให้เขาฟัง แต่ต้องเป็นแบบน่าเชื่อถือหน่อยตามหลักเศรษฐศาสตร์
ผมอธิบายแบบนักเศรษฐศาสตร์เลยว่า ที่ผมเลือกทำความดี คือธรรมทาน เพราะปีที่ผ่านมา สุขภาพของผมไม่ค่อยดีเท่าไร ทั้งไขมันและคลอเรสเตอรัลมันรุมอุดตันอยู่ในเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงสมองของผม ประกอบกับผมเป็นโรคความดันโลหิตสูงอย่างรุนแรงมาก ไตของผมก็เสื่อมมากด้วย ความดันที่ขึ้นสูงทำให้ผมพูดลิ้นพันกันไปหมด และพูดไม่ค่อยออก ผมรู้ตัวดีว่า อายุของผมไม่น่าจะยืน ถ้าอยู่ได้อีกแค่ 15 ปีก็นับว่าเก่งมากแล้ว สภาพของผมมันเสี่ยงต่อความตายทุกขณะ
ผมไม่สนใจแล้วครับเรื่องเงินทองชื่อเสียงอะไรพวกนั้น ความสุขจากการได้เงินเพิ่มมากขึ้นไปอีก สำหรับผมมีค่าน้อยมาก ผมยอมเกษียณตัวเองตอนอายุ 45 ปี แล้วใช้ชีวิตอยู่กับหลาน  2 คน ผมมีความสุขมากกว่าเยอะ แค่งานที่ปรึกษาที่ไม่ต้องทำอะไรมาก ผมยังหาเงินได้ปีละไม่น้อยกว่า 600,000 บาท แต่การที่ผมลาออกจากงาน และไม่ยอมทำงานอะไรเลย ซ้ำยังพิมพ์หนังสือแจกอีก รายจ่ายหรือต้นทุนของผมจะมีบานตะไทเลย ดังนี้
ต้นทุนค่าต้องเสียโอกาสในการหารายได้จากค่าคอมมิชชั่นของผม ปีละไม่น้อยกว่าล้านบาท เมื่อรวมกับเงินค่างานที่ปรึกษา จะเป็นเงินกว่า 1.6 ล้านบาทในแต่ละปี สมมุติว่าผมอยู่ได้แค่ 3 ปีแล้วก็ตาย ต้นทุนค่าต้องเสียโอกาสในการหารายได้ของผม รวมกับเงินค่าเป็นที่ปรึกษาก็จะเท่ากับ 4.8 ล้านบาท แต่การพิมพ์และแจกหนังสือฟรี 2 ครั้ง ผมต้องเสียรายจ่ายค่าหนังสือ 2 ครั้งไปอีกไม่น้อยกว่า 800,000 บาท ดังนั้นต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ขั้นต่ำของผมจากการเปลี่ยนอาชีพ มาเขียนหนังสือแจกฟรี จะอยู่ที่ 4.8+0.8 ล้านบาท = 5.6 ล้านบาท
สำหรับคนที่รู้ตัวว่าอายุไม่ยืน การต้องเสียเงินไป 5.6 ล้านบาท แลกกับความสุขที่เหลืออยู่ในชีวิต และอีกไม่รู้นานเท่าไรในสรวงสวรรค์ ซึ่งผมรู้และแน่ใจ 100% ว่าสวรรค์-นรกมีอยู่จริงๆ ผมตัดสินใจขออยู่อย่างมีความสุขในชีวิต และในสวรรค์ดีกว่า
ผมไม่ได้บอกว่า ผมเชื่อว่าสวรรค์-นรกมีอยู่จริงนะครับ คนอื่นอาจจะใช้คำพูดว่าเชื่อได้ แต่สำหรับผมใช้ไม่ได้ เพราะผมไม่เคยเชื่อเรื่องนี้ จนกระทั่งผมพิสูจน์มาแล้วว่า วิญญาณและปรโลกมีอยู่จริงๆ
ภาษิตบทหนึ่งสอนว่า ถ้าเห็นด้วยตาก็อย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าได้ยินด้วยหูก็อย่าเพิ่งเชื่อ ต้องเอามือคลำหรือสัมผัสก่อนจึงจะเชื่อ ผมเชื่อในภาษิตนี้ ถ้าผมเห็นผีและเห็นสวรรค์มากับตาหรือได้ยินด้วยหู ผมอาจจะไม่เชื่อ เพราะประสาทตาและประสาทหูมันหลอนกันได้ แต่นี่ผมสัมผัสวิญญาณมากับตัวเอง และก็ถูกวิญญาณสัมผัสด้วย ดังนั้นผมจึงกล้ายืนยัน นั่งยัน และนอนยันเลยว่า ผมรู้และแน่ใจ 100%ว่า สวรรค์-นรกมีอยู่จริงๆ ผมย้ำว่า ผมไม่ได้เชื่อนะครับแต่ผมยอมรับโดยไม่มีข้อสงสัยเลยว่า สวรรค์นรกมีอยู่จริงๆ
ถ้าผมไม่ลาออกจากงานที่ทำ ไม่ยอมเกษียณตัวเองเมื่ออายุ 45 ปี ทั้งๆที่ไม่มีปัญหาทางการเงิน แล้วเมื่อไรผมจึงจะมีโอกาส ได้เขียนหนังสือผีอำประตูลับสู่โลกวิญญาณเล่ม 1 และเล่ม 2 ล่ะครับ แล้วพรสวรรค์เรื่องวิญญาณที่สวรรค์ให้ผมมา เพื่อช่วยเหลือเพื่อนวิญญาณเหล่านี้ ผมจะเอาพรสวรรค์นั้นมาทำไม ผมไม่ยอมนอนรอวันตาย แล้วเกิดเป็นเปรตหรือเกิดเป็นหมูเป็นหมาเพื่อเฝ้าสมบัติทรัพย์สิน ที่ผมเห็นว่าเป็นสิ่งลวงตา(อนิจจัง)หรอก
การใช้พรสวรรค์ของผมให้เป็นประโยชน์จริงๆ ผมมองเห็นที่เป็นประโยชน์ที่สุดมีเพียงทางเดียว คือต้องเปิดเผยความลับของฟ้า พิมพ์หนังสือแจกจ่ายชาวบ้านตามกำลังเงินของตนเอง ถ้าผมพิมพ์ขายสมมุติเล่มละ 70 บาท จำนวนคนที่จะซื้อหนังสือผมไปอ่าน เต็มที่ก็มีไม่ถึง 10,000 คน แล้วรายได้ค่าหนังสือ มันก็แทบไม่มีประโยชน์อะไรกับผมเลย มันช่วยให้ผมมีความสุขเพิ่มขึ้นแม้แต่น้อยนิดก็ไม่ได้
ถ้าขืนผมทำอย่างนั้น ในที่สุดความรู้เรื่องผีอำ ที่ผมใช้ทั้งชีวิตและวิญญาณของตัวเองศึกษามา วันหนึ่งก็ต้องสลายไป แต่ถ้าผมพิมพ์แจก ก็จะมีผู้อ่านที่เชื่อและเอาหนังสือผมไปแจกต่ออีกส่วนหนึ่ง วิชาการและความรู้เรื่องผีอำของคนในชาติ ก็ยิ่งเผยแพร่หลายไปมากขึ้นด้วยเหตุนี้ โอกาสที่ความรู้เรื่องผีอำและเรื่องศาสนาที่ผมเขียนไว้ จะหายสาบสูญไปจากโลกนี้ก็คงจะยากมากขึ้น
นี่คือเหตุผลที่แท้จริง ที่ผมพิมพ์หนังสือผีอำประตูลับสู่โลกวิญญาณเล่ม 1 รวมทั้งเล่ม 2แจกยังไงล่ะครับ อ้าว! ผมว่าจะคุยเรื่องบุญ และที่มาของเงิน ที่ผมจะใช้จ่ายต่อไปในอนาคต ผมดันโม้ไปเสียยาว ยังไม่เข้าเรื่องเลย อ่านหัวข้อถัดไปเรื่องบุญดีกว่า

ความคิดเห็น