A A

6-4 การสำนึกบาปเป็นการล้างบาปในศาสนาพุทธ

ในศาสนาพุทธก็มีการล้างบาปหรือการสารภาพบาป เหมือนกับในศาสนาคริสต์หมือนกัน แต่ใช้ชื่อว่า “การก้าวล่วงบาปกรรม” หรือ “การก้าวออกจากกรรม” ซึ่งเป็นการขจัดมลทินแห่งอกุศลออกจากจิตเสีย เมื่อจิตไม่มีอกุศลจิตแล้ว จิตนั้นก็ชื่อว่า พ้นจากบาปกรรม หากยังคงรับผลร้ายอยู่บ้าง ก็จักเป็นเพียงเศษกรรมเก่า หลักการใหญ่ของคนที่จะก้าวล่วงกรรม คือเขาต้องสำนึกผิดอย่างเด็ดขาด ตั้งจิตเจตนาว่า จะไม่ทำกรรมแบบนั้นอีกต่อไป ไม่ว่าวันนี้หรือวันข้างหน้า
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า สมัยผมหนุ่มๆ ผมเป็นคนที่เลวทรามต่ำช้ามาก มีอยู่ครั้งหนึ่งมอเตอร์ไซค์ที่ผมนั่งมา ไปชนกับมอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่งอย่างแรง ทันทีที่รถมอเตอร์ไซค์ปะทะกัน ผมรู้สึกเจ็บปวดที่หัวเข่ามาก ผมเดินไม่ได้ เลยต้องขึ้นรถแท็กซี่ไปโรงพยาบาล
ผมจำได้ว่า ตอนที่มอเตอร์ไซค์ปะทะกันนั้น แว๊ปนั้นผมเห็นบาปกรรมที่ตนเองก่อไว้ในอดีต เข้ามาในหัวทันที สมัยผมเป็นวัยรุ่น ผมเกลียดเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มีอายุเพียง 6 ขวบ อย่างมากโดยไม่มีสาเหตุ วันหนึ่งผมก็แกล้งเขาอย่างแรงมากๆ ผมกำมือเขกหัวเด็กคนนั้นเต็มที่เขาจะเจ็บหรือตายผมไม่สน หัวเขาจะโนหรือสมองของเขาจะได้รับบาดเจ็บ ผมก็ไม่ใส่ใจทั้งสิ้น บัดนี้บาปกรรมนั้น มันได้สนองตอบผมแล้ว ตั้งแต่วันที่มอเตอร์ไซค์ปะทะกันเป็นต้นมา กระดูกหัวเข่าผมได้ร้าว แต่ไม่ถึงกับหัก
ผมเคยเล่าให้ท่านฟังเรื่องพระพรหม ท่านเสด็จมาหาผมที่หน้าบ้าน แล้วเนรมิตให้วิญญาณดวงหนึ่ง มากอดผมที่ด้านหลังแบบพิศวาส พร้อมทั้งเฉลยความสงสัยของผมโดยไม่มีการเอ่ยปากเลยว่า ที่ผมต้องอกหักในชาตินี้ เป็นเพราะผมทำบาปทำกรรมเรื่องผู้หญิงมามากบาปกรรมนั้นไม่ได้หายไปไหน มันจำเป็นต้องตามสนองผมในชาตินี้เลย เพราะที่ๆผมจะไปในอนาคต กรรมนี้มันตามผมไม่ทัน หรือไม่ส่งผลถึงผม ความจริงถ้าผมไม่ละวางจากความรัก
ผมอาจจะก่อกรรมหนักกว่านี้อีกเยอะ
การอกหักในครั้งนั้นเป็นการรับกรรมของผม โชคดีที่ใจผมปล่อยวางเรื่องความรักได้ เท่ากับกรรมมันได้ตามสนองผมแล้ว แต่มันทำอะไรผมไม่ได้เอง แล้วผมก็สำนึกในบาปกรรมที่ทำไว้ ผมตั้งใจอย่างมั่นคงว่า ผมยอมตกนรก แม้แต่ไฟนรกจะแผดเผา ผมก็ขอน้อมรับ แต่ผมจะไม่ขอปฏิเสธ หรือหนีความผิดจากบาปกรรม ที่ผมก่อขึ้นอย่างเด็ดขาด
ตอนนั้นผมคิดว่า สวรรค์ได้ให้อภัยผมแล้ว หลังจากนั้นผมได้ศึกษาพุทธศาสนามากขึ้น ทำให้ผมรู้ว่า การสำนึกบาปของผมนั่นเองเป็นการล้างบาปของตัวเอง หรือเป็นการก้าวล่วงบาปกรรม โดยการขจัดมลทินแห่งอกุศลออกไปจากจิตพระพุทธองค์ทรงแนะนำให้ก้าวล่วงออกจากกรรมเสีย โดยการกำหนดอธิษฐานจิตตั้งใจมั่นว่า

“ กรรมนั้นๆเป็นสิ่งไม่สมควร ต่อไปนี้ตลอดไปนิรันดร เราจะไม่กระทำกรรมนั้นอีกเป็นอันขาด ”

เมื่อเราตั้งใจแน่วแน่ดังนี้แล้ว ใจของเราจะก้าวออกจากกรรมนั้นได้
ปัญหาคือ แม้ว่าคุณได้สำนึกผิดอย่างเด็ดขาด กุศลจิตเกิดขึ้นในใจแล้ว และคุณก็พ้นจากวิบากกรรมหนักแล้ว แต่คุณอาจจะยังต้องรับผลร้ายของวิบากกรรมเก่าอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม มันจะเป็นแค่เพียงเศษของกรรมเก่าเท่านั้น แต่คำว่าเศษของกรรมมันรุนแรงขนาดไหน พระพุทธองค์ทรงตัดว่า การจะเปรียบเทียบทุกข์ในนรกไม่ใช่ง่ายนัก และตรัสให้ตัวอย่างมาหลายตัวอย่าง เช่น บุรุษที่ถูกแทงด้วยหอกสามร้อยเล่มเป็นเหตุ กำลังเป็นทุกข์อยู่นั้น ยังไม่ถึงความนับแม้แต่ส่วนแห่งเสี้ยวของบาปกรรม และเขาจะยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมของเขายังไม่สิ้นสุด
ถ้าเศษของกรรมเป็นแค่ไม่ตกนรก แต่ต้องไปอยู่ในภูมิเปรตสักระยะหนึ่ง หรือไปรับโทษในชาติต่อไปตามกฎแห่งกรรม เช่นไปโกงเขามา ก็ต้องถูกโกงกลับคืน แค่นี้ผมว่าท่านก็น่าจะพอใจแล้วแต่ถ้าท่านขืนไม่สำนึกผิดในช่วงที่มีชีวิตอยู่ แล้วท่านต้องไปตกในมหานรก ท่านจะได้รับความทุกข์มากมายมหาศาล เหลือจะทนทานได้ แม้ท่านอยากจะตาย เพื่อหนีความทุกข์แสนสาหัสในมหานรก ท่านก็ทำไม่ได้ ท่านต้องรอให้หมดกรรมก่อน ซึ่งอาจจะนานเป็นวันเป็นเดือน เป็นปี เป็นพัน เป็นหมื่นปี หรือเป็นกัปเลยก็ได้
ด้วยเหตุนี้ ในตำราการแก้วิบากกรรมทุกตำราจึงแนะนำว่า หลังจากท่านได้สำนึกบาปและตั้งจิตเจตนา สัญญาว่าจะไม่ทำบาปนั้นอีกแล้ว วิบากกรรมหนักของท่านจะกลายเป็นวิบากเบามาก แต่มันก็ยังส่งผลร้ายต่อผู้เคยทำบาปหนักมาก่อนอยู่ดี แม้ว่ามันจะเหลือเป็นแค่เศษกรรมแล้วก็ตาม ดังนั้นเพื่อบรรเทาความรุนแรงของเศษกรรมนั้น ท่านจึงต้องทำให้จิตของท่านเปลี่ยนจากอกุศล เป็นจิตที่เป็นกุศลเสียก่อน โดยกระทำความดี สวนกระแสความต้องการทำความชั่วในใจท่าน เช่น คนที่มีนิสัยชอบโกงคนอื่น การทำบุญครั้งใหญ่จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำ เพื่อแก้นิสัยความเห็นแก่ตัวเอง แต่ทว่าคนที่มีนิสัยคดโกงคนอื่น จะให้เขาทำบุญครั้งใหญ่เพื่อแก้กรรมคงเป็นเรื่องยากมากๆ และเขาก็คงไม่ทำด้วย เพราะเขาฝังความเห็นแก่ตัว ความคิดเอาเปรียบผู้อื่นและความคิดคดโกงเอาไว้ในใจของเขา มาเป็นเวลาช้านานแล้ว จิตของเขาจึงถูกรุมล้อมด้วยอกุศลเต็มไปหมด
ดังนั้น ถ้าท่านเป็นคนคนโกง และตัดสินใจเลิกนิสัยดังกล่าวแล้ว ท่านต้องค่อยๆทำความดีให้เป็นนิสัย หัดให้ทานเล็กๆน้อยๆ และค่อยๆสะสมบุญกุศลเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อวิบากกรรมมาถึงท่าน ไม่ว่าในปรโลกหรือในชาตินี้หรือชาติหน้าก็ตาม ผลแห่งบุญกุศลนั้นจะช่วยบรรเทาผลร้ายให้เบาบางลง และกลับเป็นผลดีอย่างมากในภายหลัง
ผมไปดูหนังเรื่องซุ้มมือปืนมาเมื่อเร็วๆนี้ ในหนังมีมือปืนรับจ้างคนหนึ่งซึ่งฆ่าคนตายมามาก วันหนึ่งเขาก็รับจ้างฆ่าสองผัวเมียคู่หนึ่ง เขาก็ฆ่าตามใบสั่ง พอเขาฆ่าเสร็จ เขาเหลือบไปเห็นเด็กทารกน้อยนอนอยู่ในเปล ด้วยจิตที่เป็นกุศล เขานึกสงสารเด็กที่ขาดพ่อขาดแม่ เลยนำเด็กคนนั้นไปเลี้ยงจนโต และเขาตัดสินใจเลิกเป็นมือปืนรับจ้างตั้งแต่วันนั้น 20 ปีต่อมาเขาก็ถูกมือปืนรับจ้างรุ่นหลังฆ่าตาย
หนังเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ท่านจะเห็นว่า แม้ว่ามือปืนรับจ้างฆ่าคนนั้นจะได้สำนึกผิด เลิกเป็นมือปืนแล้วก็ตาม แต่เศษของกรรมมันมีอยู่ โดยเฉพาะเศษของกรรมที่เป็นกฎแห่งกรรมนั้น ยากมากที่จะหลีกเลี่ยง ฆ่าเขา ก็ต้องโดนเขาฆ่า
แต่ด้วยกุศลผลบุญอันเกิดจากความเมตตาในใจของเขา ที่นำเด็กมาชุบเลี้ยง ผมคิดว่า ถ้าเขาต้องรับกรรมในนรกหรือในภูมิเปรตต่อไปอีก ก็คงไม่นานนัก เพราะมันน่าจะเป็นเศษเสี้ยวของกรรมอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากเขาฆ่าคนตายมามาก แต่หลังจากนั้น ผมเชื่อว่ามือปืนคนนี้จะต้องไปจุติในสวรรค์อย่างแน่นอน
แม้พระอรหันต์อย่างองคุลิมาล ขนาดท่านบรรลุธรรมแล้ว ท่านยังหนีเศษของกรรมไม่ได้เลย ต้องถูกชาวบ้านเอาก้อนหินขว้างปา และถูกตีด้วยท่อนไม้จนหัวแตก อย่างไรก็ตามกรรมที่จะนำท่านไปตกนรกหมกไหม้เป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี จากการที่ท่านฆ่าคนอื่นมา 999 ศพ พระพุทธเจ้าตรัสว่า วิบากกรรมนี้จะไม่ส่งผลต่อองคุลิมาล
ผมช่วยใครให้ขึ้นสวรรค์ไม่ได้ ผมเพียงแต่บอกทางในการก้าวล่วงบาปกรรมให้กับท่านผู้อ่านเท่านั้น ทุกอย่างอยู่ที่ตัวของคนผู้นั้น เขาจะต้องทำเองทั้งสิ้น
การอโหสิกรรม ในกรณีที่ท่านเป็นเจ้าเวรนายกรรมใคร และท่านประกาศอโหสิกรรมให้เขาแล้ว แต่คนคนนั้นยังไม่สำนึกผิด ตัวเขาก็จะยังคงได้รับผลแห่งกรรมนั้นอยู่ จนกว่าเขาจะสำนึกผิดเด็ดขาด เขาจึงจะก้าวล่วงออกจากกรรมได้

ความคิดเห็น