A A

4-2 นิสัยจริงๆของท่านไม่มี

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ความรู้ทางจิตในโลกปัจจุบันก้าวหน้าไปไกลมากจากอดีต มีการใช้ความคิดด้านบวกมาแก้นิสัยที่ไม่ดี และเปลี่ยนบุคลิกภาพ หรือแม้กระทั่งการใช้ความคิดด้านบวกมากำหนดโชคชะตาของตนเอง ก็สามารถทำได้
ตัวผมเองก็ใช้ความคิดด้านบวก ควบคู่ไปกับการฝึกสมาธิ ปรากฏว่าได้ผล เมื่อท่านผู้อ่านสนใจแนวทางการฝึกสมาธิแบบผม ผมก็ยินดีชี้แนะ แต่ก่อนอื่น ท่านต้องช่วยผมหานิสัยที่แท้จริงของมนุษย์ก่อนครับว่า คนแต่ละบุคคลมีนิสัยอย่างไร และนิสัยของเขามาได้อย่างไร บางคนเป็นคนที่หยิ่งในเกียรติ บางคนง่ายๆ บางคนงก บางคนขี้อิจฉา บางคนชอบพูดโกหก บางคนใจดี บางคนใจร้าย ฯลฯ
ในความรู้สึกของผม ทุกนิสัยที่มีอยู่ในมนุษย์ ล้วนเป็นนิสัยจอมปลอมทั้งสิ้น พวกเขากำหนดนิสัย สันดานและบุคลิกภาพของตนขึ้นมาเอง โดยได้รับอิทธิพลมาจากสภาพแวดล้อม การศึกษา การเรียนรู้ ฐานะ ประสบการณ์ การนึกคิดของตน ความชอบ ความไม่ชอบ ทัศนคติของเขา ของครอบครัว ฯลฯ ทำให้คนแต่ละคนมีนิสัยและสันดาน แตกต่างกัน ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ผมกำลังบอกท่านว่า ไม่มีนิสัยของใครเลย ที่เป็นนิสัยแท้จริงในโลกนี้ ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ทุกคนจึงสามารถสร้างนิสัย ที่เป็นแบบฉบับของตนเองขึ้นมาได้ ผมที่ผมเป็นผมอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะผมได้สร้างนิสัยของผมขึ้นมาเอง
20 ปีก่อน ผมไม่ได้เป็นคนแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อดีตผมเป็นคนที่พูดจาหยาบคายมากๆ ไม่มีคำพูดใดที่มีความสุภาพเหมือนคนทั่วไปเลย นอกจากนี้ผมยังเป็นคนเจ้าชู้ เห็นแก่ตัว มองโลกในแง่ร้าย ดุ ฉุนเฉียว อารมณ์ร้าย และควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ในช่วงนั้นผมไม่สามารถทำสมาธิได้แม้แต่นาทีเดียว พอผมจะเข้าสมาธิ ผมมักเห็นภาพดาราสาวหรือหญิงสาวแสนสวย เข้ามาในหัวทุกครั้ง หรือไม่ก็เห็นภาพคนที่ผมเกลียด และไม่ชอบหน้าอยู่ในหัวตลอด
จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมลองท่องคำพูดและแนวทางชีวิต ที่ผมต้องการลงไป ย้ำเข้าไปในหัวหลายๆสิบครั้ง ซึ่งเป็นวิธีที่นักจิตวิทยาสมัยใหม่เขาสอน เรียกวิธีนี้ว่า การแนะนำตัวเองหรือการสะกดจิตตัวเอง เหล่าคำพูดที่ผมท่องคือ
“ ผมไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่กลัวใคร ผมไม่อาฆาต ไม่พยาบาท ไม่ชิงชัง ไม่อิจฉา ไม่ริษยาใคร ผมไม่ละโมบ มีแต่เมตตา กรุณา และให้อภัย……ผมไม่ปรุงแต่ง หรือไม่ลุ่มหลงในภาพหญิงงาม ไม่ตำหนิ ไม่ติเตียน ไม่ด่า ไม่ว่าใครทั้งสิ้น ฯลฯ ”
หลังจากที่ผมลองท่องใส่นิสัยที่ตนเองต้องการ ลงไปในใจ ตั้งแต่นั้นผมก็ถือคำพูดเหล่านั้น เป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิประจำตัว ผมทำไปได้เดือนหนึ่ง พอผมเริ่มกลับมานั่งสมาธิ คราวนี้แทนที่ผมจะท่องบริกรรมว่า “พุธ … … โธ” “ยุบหนอ พองหนอ” ที่ใช้เป็นคำพูดบริกรรมในการเข้าสมาธิเหมือนที่เคยทำ ซึ่งวิธีการดังกล่าว ผมรู้ว่า ไม่เคยทำให้ใจผมสงบเป็นสมาธิได้แม้แต่ครั้งเดียว ครั้งนี้ผมลองทำสมาธิ โดยเปลี่ยนเป็นการท่องบริกรรมพระคาถาประจำตัวในใจอย่างช้าๆ และพยายามซาบซึ้งในคำพูดในใจแต่ละคำที่ออกมาว่า
“ ผมไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่กลัวใคร ไม่อาฆาต ไม่พยาบาท ไม่ชิงชังใครทั้งสิ้น ไม่อิจฉา ไม่ริษยาใคร ไม่ละโมบ ใจผมมีแต่ความรัก ความเมตตา กรุณา และให้อภัย ไม่ปรุงแต่ง ไม่ลุ่มหลงในภาพหญิงงาม ซึ่งเป็นสิ่งลวงหลอกจิต อีกทั้งไม่ตำหนิ ไม่ติเตียน ไม่ด่า ไม่ว่าใครทั้งสิ้น”
ผลปรากฏว่าวิธีใหม่ของผมได้ผล ผมทำสมาธิได้ดีขึ้นมาก ทั้งยังทำให้นิสัยที่ไม่ดีเดิมๆค่อยๆเปลี่ยนเป็นนิสัยที่ดีขึ้น ภาพดาราสาวแสนสวยที่เคยเข้ามาในหัวทุกครั้ง หรือไม่ก็ภาพคนที่ผมเกลียดที่มันเคยอยู่ในหัวผมตลอด มันได้หายไปเกือบหมด หรือลดจำนวนครั้งที่เข้ามาก่อกวนในหัวผม ผมทำสมาธิได้นิ่งขึ้น และนานขึ้น จากที่ไม่เคยทำได้เลยแม้แต่นาทีเดียวกลับมาเป็นทำได้ 10 นาทีบ้าง 15 นาทีบ้าง ด้วยวิธีใหม่ในการทำสมาธิ ผ่านไป 1 ปี ตอนอายุ 32 ผมทำสมาธิและเดินจงกลมได้วันละ 1-1.5 ชั่วโมง ตอนนี้ผมอายุ 46 ปี การติดยึดในสิ่งทางโลกของผมมีไม่มาก
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็เลิกท่องในใจ หายใจเข้าพูดว่า “พุธ” หายใจออกพูดว่า “โธ”นอกจากนี้ ผมยังเลิกท่องคำพูดที่ไม่มีความหมาย และเป็นคำพูดไร้สาระ เช่น คำว่า “ ยุบหนอ
พองหนอ” ซึ่งเป็นคำบริกรรมของคนที่ทำสมาธิได้ดีแล้ว

ความคิดเห็น