A A

3-1 ภพภูมิของวิญญาณ( ฉบับแก้ไขให้ถูกต้อง )

ในหนังสือผีอำประตูลับสู่โลกวิญญาณเล่มแรก ผมได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับภพภูมิต่างๆของบรรดาเหล่าวิญญาณ ที่ผมมีโอกาสได้สัมผัสร่างของเขา ลงไปในหนังสือ โดยผมมิได้มีการอิง และไม่ได้คำนึงถึงคำสอนของศาสนาใดๆทั้งสิ้น ผมเพียงแต่รู้สึกว่า คำสอนเรื่องสวรรค์และภพภูมิเปรต ที่ผมรับรู้ขณะที่สัมผัสวิญญาณเหล่านั้น ไปตรงกับคำสอนในศาสนาพุทธ ที่ผมเคยรับรู้มาตั้งแต่สมัยเด็ก แม้ว่าจะมีความแตกต่างไปบ้าง แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ ผมถือว่าการรู้เรื่องสวรรค์เพียงเล็กน้อย และไม่ได้ศึกษาเรื่องพรหมโลก น่าจะทำให้การตีความภพภูมิของวิญญาณต่างๆ ออกมาจากใจของผมจริงๆ โดยไม่มีอคติ แม้จะมีความคลาดเคลื่อนไปบ้าง ก็ไม่ใช่จุดมุ่งหมายใหญ่ของหนังสือของผม เพราะจุดมุ่งหมายใหญ่ของหนังสือของผม อยู่ที่ความต้องการให้ท่านผู้อ่านรู้ว่า ชีวิตหลังความตายมีจริงเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ พวกท่านจะได้ไม่ประมาท หมั่นสั่งสมแต่ความดีละเว้นความชั่ว และสำนึกผิดในบาปกรรม ที่ตนเองหลงผิดทำไป
ท่านผู้อ่านโชคดีจริงๆ ผมไม่เคยรู้เลยว่า การสำนึกผิดในบาปเป็นการล้างบาปกรรมของตัวเอง ทำให้วิบากกรรมที่ต้องรับในปรโลก กลายเป็นหมัน เหลือแค่เพียงเศษกรรมเท่านั้น แล้วเศษกรรมนี้ ท่านก็อาจจะได้รับผลในชาติหน้า ไม่ใช่ในปรโลกหรือโลกแห่งวิญญาณ ทั้งนี้เป็นไปตามกฎแห่งการเวียนว่ายตายเกิด และกฎแห่งกรรม เช่น ฆ่าเขาโดยเจตนาก็ต้องถูกเขาฆ่า เป็นต้น ผมหลงไปสงสัยว่า ทำไมพระพรหมท่านจึงไม่เอ่ยปากว่า เมื่อผมตายไปแล้ว ท่านจึงจะลงโทษผม ซ้ำยังให้ผมรู้ทางจิตว่า สถานที่ๆผมจะไปในปรโลก กรรมชั่วที่ผมทำตอนวัยรุ่นจะตามไปไม่ถึง ทั้งๆที่ผมก็ยอมตกนรก และยอมรับวิบากกรรม โดยผมไม่ขอปฏิเสธความผิดใดๆทั้งสิ้น
หลังจากนั้น เมื่อผมได้ศึกษาพุทธศาสนามากขึ้น ผมจึงรู้ว่า การสำนึกผิดในบาปกรรมที่ผมได้กระทำไปแล้วอย่างจริงใจ นั่นแหละเป็นการล้างบาปของตนเอง ไม่ใช่พระพรหมมาให้อภัยให้ผม แต่ตัวผมเองเป็นคนอภัยให้ตัวเอง จากการสำนึกผิดในบาป ด้วยเหตุนี้ ตอนที่ท่านยังเป็นมนุษย์อยู่ ท่านจึงจำเป็นต้องสำนึกบาปจากใจ เสียใจในบาปที่ตนเองได้ทำเอาไว้นอกจากนี้ ท่านต้องหมั่นทำความดีเอาไว้ ถ้าท่านไม่เคยทำความดีเลยในชีวิต จิตใจมีแต่อกุศล หลงระเริงอยู่กับการทำความชั่วอย่างเดียว และไม่ยอมสำนึกบาปด้วย เมื่อท่านตายไป และตกไปสู่อบายภูมิ วิญญาณของท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก เพราะในภพภูมิเหล่านี้ มีแต่ความทุกข์ไม่มีความสุข กว่าท่านจะใช้กรรมหมด หรือมีจิตที่เป็นกุศลเกิดขึ้น ก็ต้องใช้เวลานานมาก
ถ้าท่านคิดจะทำความดี การทำความดีก็ง่ายนิดเดียว แค่ท่านช่วยเหลือคนอื่น เช่น ช่วยคนพิการให้ข้ามถนน หรือช่วยคนอื่นในเรื่องที่คนๆนั้นเดือดร้อน โดยไม่หวังเงินทองตอบแทน ใจของท่านก็เป็นกุศลแล้ว ความดีหรือบุญกุศลจะเกิดขึ้นทันทีในเวลานั้น ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องตื่นนอนแต่เช้า ไปทำบุญตักบาตรพระ แม้ว่าผลบุญที่ได้รับจะมากกว่ากันเยอะก็จริง แต่เวลาของผมไม่อำนวย ผมแทบจะไม่เคยทำบุญตักบาตรเลย น้องของผมหรือแม่ของผมชวนไปวัด ผมก็จะปฏิเสธทุกครั้ง
ในหนังสือฉบับนี้ ผมได้ศึกษาเรื่องสวรรค์นรกและเรื่องพรหมโลกมาดีพอควรแล้ว ทำให้ผมตีความภพภูมิของวิญญาณได้อย่างถูกต้อง มีคลาดเคลื่อนน้อยลง
ครั้งก่อนผมระบุไปว่า ภพภูมิในสวรรค์ชั้น 1 มีอยู่ 6-7 ภพภูมิ ความจริงไม่ใช่ มันน่าจะมีอยู่ไม่เกิน 3-4 ภูมิในภพนี้ ภพภูมิสวรรค์ชั้นที่ 1/3 ที่ผมเขียนไว้ในเล่มก่อน ควรจะถูกใส่ใหม่เป็น 0/+1 น่าจะเหมาะสมกว่า ภพนี้เป็นภพภูมิของวิญญาณ ที่เพิ่งมาอยู่ในโลกวิญญาณใหม่ๆ รวมถึงวิญญาณที่มีห่วงอยู่ และวิญญาณที่รอการไปเกิดใหม่
วิญญาณที่อยู่ในภพภูมิ 0/+1 วิญญาณเหล่านี้ทำบาปมาน้อย ทำบุญมามากกว่า แต่ก็ไม่ถึงกับมากมาย สวรรค์จึงให้รอไปเกิดในภพภูมินี้ อาหารการกินและที่พักอาศัยก็ไม่เลวนัก แต่ไม่ถึงกับเป็นสวรรค์ ภพภูมินี้เป็นภพภูมิของการรออย่างเดียว เพราะฟ้าไม่สามารถพิพากษาลงโทษดวงวิญญาณเหล่านี้ ให้ตกไปสู่อบายภูมิ แต่จะให้ขึ้นสวรรค์ก็ไม่สมควร อีกทั้งวิญญาณบางดวง ก็ยังเป็นห่วงลูกหลานและครอบครัว ตัดใจไม่ได้สักที จึงต้องกลับเข้าไปเกิดใหม่เป็นลูกเป็นหลานของตัวเอง
ตัวอย่างวิญญาณหลายดวงที่อยู่ในภพภูมิ 0/+1 เช่น วิญญาณของตี่ ตอนแรกเขาก็อยู่ในภพภูมินี้ 7 วัน ก่อนจะเปลี่ยนภูมิไปอยู่ในสรวงสวรรค์ของพระคริสต์ แม่เลี้ยงของผม(หรือมา)ท่านอยู่ในภพภูมิชั้นที่ 0/+1 นานหลายปีทีเดียว ทั้งนี้เพื่อรอไปเกิดใหม่ ส่วนวิญญาณของอดีตน้องเขยของผมคือ คุณตี๋ เขาก็อยู่ในภพภูมิชั้นที่ 0/+1 นี้เหมือนกัน แต่อยู่แค่วันเดียว แล้วก็สลายหายไปเฉยๆ ผมเข้าใจว่า เขาไปเกิดใหม่แล้ว หลังจากได้รับการแผ่เมตตา และรับการอุทิศกุศลจากผม วิญญาณต่างๆที่คนตายอายุไม่ถึง 40 ปี และเพิ่งตายมาไม่เกิน 1-2 เดือน เช่นวิญญาณเด็กจากสึนามิ 4 ดวงที่ผมเจอ ก็อยู่ในภูมินี้เช่นเดียวกัน
ถ้าวิญญาณนั้นจนในผลบุญ คือทำความดีมาน้อย วิญญาณดวงนั้นก็จะไปรอการเกิดอยู่ในภพภูมิที่ 0/-1 หรือที่ผมระบุในครั้งที่แล้วว่า เป็นสวรรค์ภพภูมิที่ 1/ 2 ผมรับรู้ความอดอยากของวิญญาณภูมินี้บ้าง แต่ยังถือว่า วิญญาณในภูมินี้ ไม่ได้เป็นเปรตแต่อย่างใด เพราะผลบุญของเขายังมีอยู่ แม้ว่าจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ผมเคยคุยกับวิญญาณเด็กผู้ชายคนหนึ่ง อายุไม่น่าเกิน 14 ปี ผมถามเขาทางจิตว่า
“ เขาอยู่ได้อย่างไร กินอยู่อย่างไร ทำไมเขาต้องการให้ผมรับเป็นลูก ”
วิญญาณดวงนั้นเผลอตอบผมมาว่า “ เขาอยู่ได้ด้วยผลบุญก่อนตาย ” การคุยกันทางจิตนี้ จิตจะทำหน้าที่เป็นทั้งหูรับฟัง และเป็นทั้งปากพูดด้วย คือจิตของผมจะเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟัง ท่านต้องหัดแยกความคิดเอาเองว่า ความคิดที่พูดออกมาทางจิตนั้น อันไหนน่าจะเป็นคำพูดของท่าน อันไหนน่าจะเป็นการพูดของวิญญาณ ทันทีที่วิญญาณเด็กคนนี้ตอบผม เขาก็ตกใจมาก แป๊ปเดียวเท่านั้น ก็มีวิญญาณอีกดวงหนึ่งมาฉุด หรือดูดให้เขาออกจากพื้นที่นั้นโดยทันที
วิญญาณในภูมิต่ำๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับมนุษย์โดยตรง ผมต้องใช้ความฉลาดของผม เพื่อหาคำตอบที่ผมอยากรู้จากวิญญาณเหล่านี้เอาเอง เช่น ถ้าผมต้องการรู้ว่า วิญญาณดวงนั้น ได้รับเมตตาหรือกุศลที่ผมแผ่ไปให้เขาหรือไม่ ผมจะทำสมาธิและบอกวิญญาณดวงนั้นว่า ให้เขาไปเลย ถ้าเขาได้รับกุศลแล้ว ไม่ต้องมาหาผมอีก ถ้าเขาไม่ยอมไป มาหาผมอีกแสดงว่าเขายังไม่ได้รับกุศล และไม่ได้รับการแผ่เมตตาจากผม หรือเขาอาจจะได้รับ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะช่วยอะไรเขาได้
ในช่วงที่ตี่ตายใหม่ๆ ผมก็นั่งสมาธิบอกตี่ไปว่า ถ้าเป็นตี่ ให้จับที่มือขวาผม เขาก็จับ
และพยายามจะคุยอย่างเดียว โดยเขาไม่รู้ว่า ผมหูหนวกในโลกวิญญาณ สิ่งที่ผมทำได้ คือ รับกระแสแห่งความสุขและความทุกข์ของวิญญาณอย่างเดียว สุดท้ายผมก็ต้องส่งสัญญาณให้ตี่เขารู้ หลังจากเขาลองพยายามพูดคุยกับผมมาหลายต่อหลายครั้ง โดยผมเปลี่ยนสถานที่นอน ทำให้เขารู้ว่า ผมคุยตรงๆกับเขาไม่ได้ และผมต้องการนอนอย่างเดียว ผมจะทำสมาธิ ส่งกระแสจิตไปบอกเขาตรงๆ ผมก็ทำไม่ได้ เพราะตอนนั้นผมง่วงมากๆ
ผมไม่ต้องการคุยกับวิญญาณในภพภูมิชั้น 0/+1 หรือ 0/-1 แม้แต่คุยในสมาธิหรือใน
ความฝัน ไม่ใช่ผมหยิ่งจองหองนะครับ แต่เพราะผมไม่ต้องการทำให้พวกเขาเดือดร้อน หรือทำผิดกฎในปรโลก ซึ่งห้ามวิญญาณในภพภูมิเหล่านี้คุยกับมนุษย์ที่ยังไม่ตาย
ส่วนวิญญาณที่ผมเคยระบุว่า พวกเขาอยู่ในสวรรค์ชั้น 1/1 ความจริง ผมไม่น่าเรียกสวรรค์เลย แต่เป็นภพของเปรต หรือสัมภเวสีภูมิเริ่มต้น เพราะว่าภูมินี้ยังไม่ใช่นรก เพราะฉะนั้นผมจึงขอใส่ว่า เป็นภพภูมิ 0/-2 คำอธิบายของน้องชายของผมเรื่องภพภูมินี้ น่าจะชัดเจนกว่าผม น้องผมของผมเล่าให้ฟังว่า พวกเปรตหรือสัมภเวสีในภูมินี้ เคยมาแสดงนิมิตให้เขาเห็นครั้งหนึ่ง เป็นหญิงชราอายุราวห้าสิบปี รูปร่างผอมมาก อยู่ในบ้านที่มีพื้นดินเป็นกรวดทรายที่ร้อน บ้านของเขาก็แย่มากกว่าในสลัม เสื้อผ้าเหมือนคนยากจนมาก เนื้อตัวก็มอมแมมโสโครก
ตอนนั้น น้องชายผมยังไม่เข้าใจว่า เปรตหรือสัมภเวสีมาขอส่วนบุญ เห็นแล้วน้องผมก็เฉยๆ ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น จนเมื่อเขาเรียนรู้มากขึ้น เขาจึงรู้ว่า วิญญาณหรือสัมภเวสีดวงนั้นตั้งใจมาหา เพื่อจะขอส่วนบุญจากเขา วิญญาณของเขาต้องการให้เราช่วย เพราะเขาอยู่ในภพภูมิที่ลำบาก
ฉะนั้น ท่านผู้อ่านที่เจอประสบการณ์คล้ายๆกันนี้ ก็ขออย่าได้ตกใจ ให้มองในมุมกลับกัน อย่าไปคิดว่าผีมาหลอก แต่ให้ท่านคิดตรงกันข้ามว่า ท่านนี้ช่างโชคดีจริงๆ ที่มีโอกาสช่วยแผ่เมตตาให้วิญญาณพ้นทุกข์ หรือเลื่อนชั้นภูมิได้บ้าง แต่ถ้าท่านแผ่เมตตาไม่เป็น ท่านก็อาจจะช่วยทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา จะทำบุญตักบาตรพระ หรือทำสังฆทานก็ได้ วิญญาณทั้งหลาย ก็จะได้รับกุศลผลบุญจากท่านท่านช่วยวิญญาณครั้งเดียว แต่อาหารทิพย์จากการทำบุญของท่าน จะไปสู่วิญญาณหรือสัมภเวสี ที่กำลังตกทุกข์ดวงนั้นหลายต่อหลายครั้ง แล้วผลบุญที่ท่านทำให้วิญญาณหรือสัมภเวสีเหล่านี้ ท่านทำออกไป ก็ไม่ได้สูญเปล่าอย่างแน่นอน ท่านต้องเชื่อในเรื่องบาปบุญ การกระทำใดๆจากกุศลจิตของท่าน ในที่สุดมันมีผลบุญกลับมาหาท่านเอง ท่านผู้อ่านอาจจะได้ขึ้นสวรรค์ จากการทำบุญให้วิญญาณเหล่านี้เพียงครั้งเดียวก็ได้
อนึ่ง ข้อเขียนเรื่องภพภูมิที่ผมเขียนไปคราวที่แล้ว มีข้อผิดพลาดอันหนึ่งที่ไม่น่าให้อภัยเลยคือ ผมไปเขียนในหนังสือว่า วิญญาณดวงหนึ่งที่มาหาผม น่าจะเป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นยามาในช่วงนั้น ผมยังศึกษาพุทธศาสนามาไม่มาก เรื่องพรหมโลกผมไม่ค่อยรู้ ผมเพิ่งมาศึกษาจริงจังเมื่อเร็วๆนี้เอง ความจริงวิญญาณดวงนั้น ท่านอาจจะเป็นพระอนาคามีหรือพระอรหันต์เพราะกายของท่านเป็นแสงสว่าง และมีความสุขที่ประหลาดอยู่ในแสงนั้น
ท่านมาหาผม เพราะวันนั้น ผมยอมยอมสละและละผลบุญจากความดีทั้งหมดที่ทำมาให้กับดวงวิญญาณต่างๆ ที่ผมเคยรู้จักมาในชาตินี้ ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศตรูก็ตาม ผมยอมให้โดยเต็มใจและสมัครใจ การกระทำเช่นนี้ ทำให้ผมได้สัมผัสนิพพานชั่วคราวหลายนาที หลังจากนั้น ภาวะนิพพานก็ได้หายไป ภาวะนั้นเป็นภาวะที่บรมสุขจนบอกไม่ถูก เป็นความสุข(บรมสุข)ที่ผมอธิบายไม่ได้ และมันก็ไม่ใช่ความสุขที่อยู่ในความรู้สึกทางอารมณ์ด้วย
มนุษย์หลงผิดไปคิดว่า ความสุขต้องได้มาจากการได้รับการตอบสนองจากกิเลสและตัณหา แต่ไม่เคยรู้เลยว่า มีความสุขที่ยิ่งใหญ่ ซ่อนอยู่ในการละกิเลสตัณหา และความเห็นแก่ตัวออกจากจิตใจทั้งหมด นิพพานไม่ใช่การศูนย์ หรือว่าไม่มีอยู่ ผมไม่อยากนำคำพูดตรัสสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้ แต่ถ้าจะให้ผมอธิบายคำว่า “นิพพาน” จากประสบการณ์ของตนเอง ผมจะบอกว่า นิพพานแปลว่า ความบรมสุขที่แท้จริง โดยไม่อาศัยความรู้สึกทางอารมณ์ใดๆมารองรับ และไม่มีกิเลสตัณหามาเจอปนอยู่แม้แต่น้อย
ผมขอยกตัวอย่างให้ท่านเห็นสักเรื่องหนึ่ง ท่านได้รับความสุขในโลกนี้ เช่น มีคนให้เงินท่านล้านบาท ความสุขของท่านมาจากการได้ ถ้าท่านเอาเงินนั่นไปซื้อรถยนต์ ความสุขของท่านก็จะมาจากการได้รถยนต์ เมื่อท่านมีความสุขทางกามารมณ์ ความสุขของท่านก็จะมาจากเนื้อหนังมังสาที่สัมผัสกัน ความสุขต่างๆเหล่านี้ เป็นไปเพื่อสนองกิเลสตัณหาทั้งสิ้น แต่ท่านไม่เคยรู้เลยว่า มีความสุขอีกแบบหนึ่ง เป็นความสุขที่ประเสริฐกว่า คือความสุขจากการให้ แต่ความสุขจากนิพพานนี้ เป็นการให้หมดตัวไปเลย หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ความสุขจากนิพพาน เป็นความสุขจากการละออกทั้งหมด และไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆทั้งสิ้น มันจึงอยู่เหนือความประเสริฐจากการให้ทั้งปวง มันเป็นความบรมสุขที่แท้จริง ไม่ใช่ความสุขจากการได้รับ และมันก็ไม่ใช่ความสุขจากการให้ธรรมดาๆ แต่เป็นความสุขจากการละสิ่งทั้งปวง เมื่อไม่เอาและละออก ความบรมสุขที่อธิบายไม่ได้จึงบังเกิดขึ้นในจิต
จิตของพวกเราทุกคน พวกเราเคยเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า(แท้จริง)มาแล้ว พระองค์มีเพียงใจดวงเดียว คือใจที่บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลส ตัณหา และอวิชชา พอพระองค์ซึ่งมีใจและกายเป็นอนันต์ สั่งให้ใจของพระองค์ ซึ่งมีจิตของพวกเราทั้งหมดในจักรวาล จงลืมทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็เลยลืมไปว่า ตัวเราเองเป็นพระเจ้า เมื่อเราเอากิเลส ตัณหา และอวิชชาเข้ามาในใจ พวกเราจึงต้องกระเด็นตกออกจากสภาวะนิพพาน
ผมกระเด็นออกจากสภาวะนิพพาน หลังจากเข้าไปอยู่ได้ไม่เกิน 5 นาทีเท่านั้น เพราะผมไม่ได้ฝึกปฏิบัติให้เข้าสู่นิพพานอย่างถาวร ตามแนวทางของพระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด แม้ว่าใจผมน่ะให้แล้ว แต่มันเป็นการให้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ผมเข้าใจว่า วิญญาณพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ท่านนี้ ท่านมาหาผมในคืนนั้น ก็เพื่อจะสอนทางไปสู่นิพพานที่ถาวร ไม่ใช่ชั่วคราว แต่ผมดันไปกลัวพลังของท่าน ผมเลยขอให้ท่านกลับไป ผมนี้โง่บัดซบจริงๆ ผีผมดันไม่กลัว ดันไปกลัวพระอรหันต์ที่ลงมาโปรดถึงบ้าน
ผมรู้ว่า พระอริยบุคคลท่านนี้ ท่านมีรัศมีหรือแสงแห่งความสุขที่ประหลาด คล้ายความสุขที่ไม่มีกิเลสปนเลย ในขณะที่เทพในสวรรค์ชั้นดุสิตที่ผมได้สัมผัส ผมไปสัมผัสในช่วงที่ใจมีกิเลสอยู่ คือ 2 ปีหลังจากที่ผมสัมผัสแสงแห่งธรรม และเวลาก็ผ่านมาเกือบ 13 ปี ผมถึงได้เขียนหนังสือเล่มแรก ทำให้ผมหลงผิดคิดไปว่า ความสุขซึ่งอยู่ในความรู้สึกทางอารมณ์ในสวรรค์ชั้นดุสิต ดีกว่าและประเสริฐกว่า ความสุขในพรหมโลกของพระอนาคามี หรือแสงแห่งธรรมของพระอรหันต์
เวลาผ่านไปเพียง 13 ปี ผมยังเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า จิตของพวกเราทุกคน เคยเป็นส่วนหนึ่งพระเจ้าแท้จริงมาแล้วคือ เป็นจิตว่างและเป็นจิตแท้ ไม่มีมลทินจากกิเลส ตัณหา และอุปทานใดๆเลย พวกเราอาจจะเคยอยู่ในนิพพานกันมาแล้วในอดีตที่ยาวไกลจนหาเวลาเริ่มต้นไม่เจอ
พวกเราพอถูกพระเจ้าแท้จริงสั่งให้ลืมอดีตว่า ตัวเราเองเป็นใคร ทั้งนี้เพื่อลงไปเล่นในจักรวาลและในโลก ซึ่งเป็นสนามที่พวกเรากันเอง ร่วมกันเนรมิตมันขึ้นมา เพื่อทดสอบตัวของพวกเราว่า จิตใดควรจะกลับไปเป็นพระเจ้าแท้จริง และดำรงอยู่ในสภาวะนิพพาน จิตใดยังไม่ควรดำรงอยู่
ไม่ทันไรพวกเราก็ไปกันหมดแล้ว ไปนำเขากิเลส ตัณหา และอุปทานเข้ามาในจิต ทำให้เราตกชั้นลงมาถึงชั้นพรหม เรื่อยลงมาเรื่อยๆ จนในที่สุด เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าๆ พวกเราจึงได้กลับกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว และเบียดเบียนผู้อื่น บาปและอกุศลซึ่งเป็นของเลว เรากลับเห็นเป็นของดี และเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ผมไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมผมจึงเห็นผิดเป็นชอบ พระอริยบุคคลอยู่ตรงหน้า ความบรมสุขจากนิพพานก็เห็นอยู่ ผ่านไป 13 ปีเท่านั้น แล้วจริงๆก็อาจจะแค่ 2 ปี พอผมไปสัมผัสความสุขของเทพชั้นดุสิต ผมก็หลงใหลเสียแล้ว ดันทะลึ่งไปตีความว่า แสงธรรมของพระอริยบุคคลท่านนี้ ท่านน่าจะเป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นยามา จริงๆแล้ว ท่านไม่ได้อยู่ในสวรรค์ แต่อยู่ในพรหมโลกของพระอนาคามี หรือไม่ก็ในแดนแห่งนิพพาน ผมหลงผิดไป เพราะกิเลสในใจตัวเดียว ทำให้ผมเผลอไปลดลำดับชั้นของความบรมสุขในแดนของท่าน ลงไปเป็นความสุขที่ต่ำกว่าเทพในสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งยังมีกิเลสติดอยู่
ผมต้องกราบขออภัย ท่านผู้อ่านหนังสือเล่มแรกของผมทุกท่านเอาไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ความคิดเห็น