A A

10-1 ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เชื่อในเรื่องพระเจ้า(แท้จริง)

ในอดีตกาลอันยาวไกลมาก พวกเราเคยเป็นจิตแท้และบริสุทธิ์กันทุกดวง ตอนนั้นพวกเราเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า ใจหรือจิตของพวกเราซึ่งมีจำนวนเป็นอนันต์ เป็นผู้สร้างจักรวาลและโลกใบนี้ขึ้นมา หลังจากนั้น พวกเราก็พร้อมใจกันสั่งให้ตัวของพวกเรา ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมด้วยว่าพวกเราทั้งหมดเป็นพระเจ้า และเราต้องอยู่ในจักรวาลนี้ตามลำพังตลอดกาล
เมื่อพระเจ้าหรือพวกเรากันเองทุกคน พร้อมที่จะเล่นเกมส์อัตตาแท้จริงเป็นอนัตตาแล้ว  พวกเราก็สั่งให้กลุ่มควาร์คบางส่วน ก่อรูปขึ้นมาเป็นร่างกายของสรรพสัตว์ ซึ่งมี ธาตุ 4 และขันธ์ 5 อยู่ หลังจากนั้น พวกเราก็สั่งให้จิตของพวกเรา เข้าไปอยู่ในวิญญาณ และลงไปจุติในร่างกายของสรรพสัตว์เหล่านั้น
เราเรียกสิ่งที่มีธาตุ 4 และขันธ์ 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย รวมทั้งวิญญาณซึ่งบรรจุจิตอยู่นี้ว่า “ มนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน
จิตของพวกเราเมื่อจุติลงมาเป็นมนุษย์แล้ว พวกมนุษย์ไม่รู้ความจริงอะไรเลย พวกเรามองเห็นและรับรู้สิ่งต่างๆรอบๆตัว พวกเราก็หลงคิดไปเองว่า สสารและอัตตามีอยู่จริงๆ นอกจากนี้ พวกเรายังไปยึดติดว่า นี่ตัวกู นี่ของกู ศาสนาที่เชื่อในเรื่องพระเจ้าสร้างอัตตา จึงเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดเหล่านี้ ทั้งๆที่พระเจ้าแท้จริง พระองค์ไม่เคยสร้างสิ่งที่เป็นอัตตาขึ้นมาเลย
อัตตาหรือสสารทั้งหมดในจักรวาล พวกมันเป็นอนัตตา ที่ถูกจิตของพวกเราเมื่อครั้งที่เป็นพระเจ้าแท้จริงสร้างขึ้นมา โดยพวกเราทำให้พลังงาน(อนัตตา)ของเราจับตัวกันเหมือนถูกแช่แข็ง จึงเกิดภาพลวงจิตว่า อัตตามีอยู่จริงๆ ทั้งๆที่มันไม่เคยมีอยู่เลย
จุดประสงค์ที่พวกเราสร้างจักรวาลนี้ขึ้นมา ก็เพื่อเป็นสนามสำหรับการทดสอบจิตทั้งหมดว่า จิตใดที่สมควรเข้าไปรวมและไปเป็นพระเจ้าแท้จริงอีกครั้งหนึ่ง จิตใดยังไม่สมควรกลับไป การที่พวกเราต้องเล่นเกมส์อัตตาแท้จริงเป็นอนัตตา ก็เพราะว่าพวกเราต้องอยู่ในจักรวาลนี้ชั่วนิรันดร เราจึงจำเป็นต้องหาอะไรทำ(เล่น)บ้าง
จิตที่อยู่ในร่างมนุษย์ บางจิตก็สร้างกรรมดี บางจิตก็สร้างกรรมชั่ว ทำให้จิตต่างๆมัวหมองยิ่งขึ้น การหลงอยู่ในกิเลส ตัณหา และอุปทาน เป็นเหตุให้วิญญาณที่มีจิตอยู่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หลังจากที่มนุษย์เสียชีวิตแล้ว วิญญาณของพวกเขาต้องไปรับสุขและรับทุกข์ในสวรรค์นรกและภูมิของสัตว์เดรัจฉาน ตามวิบากกรรมที่ตนเองก่อไว้ก่อน หลังจากนั้นพวกเขาจึงจะสามารถกลับไปจุติเป็นมนุษย์ได้อีกครั้งหนึ่ง
เจ้าแม่กวนอิมรวมทั้งพระเจ้าฝ่ายขาว พวกท่านก็รู้ความจริงเรื่องเกมส์อัตตา-อนัตตา แต่พวกท่านเป็นผู้มีพระเมตตากรุณาสูงล้น พวกท่านไม่ยอมเข้าสู่นิพพาน เพราะพวกท่านรู้ว่ามีวิญญาณและจิตอีกนับจำนวนเป็นอนันต์ ที่ยังไม่สามารถรู้ความจริง พวกท่านยินดีคอยช่วยสอนและแนะนำจิตวิญญาณเหล่านี้ พวกท่านตั้งปณิธานอันแรงกล้า ขอเป็นคนสุดท้ายที่จะเข้าไปสู่แดนนิพพาน
องค์พระผู้เป็นเจ้า(แท้จริง)หรือพระพุทธเจ้า ( รวมทั้งพระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้วทั้งหมด ) พระองค์ท่านยังมีอยู่ ศาสนาพุทธนิกายหินยานมองพระพุทธองค์ที่เปลือกนอกว่า เปลือกนอกของพระองค์ที่เป็นธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ และเป็นขันธ์ 5 ไม่มีอีกแล้ว นอกจากนี้พระพุทธองค์ยังไม่มีอวิชชาด้วย ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงต้องกลายเป็น 0 ซึ่งความจริงใช่ แต่ก็ไม่ใช่ เพราะพระพุทธองค์ขณะนี้ ทรงดำรงอยู่ในสภาพที่เป็นจิตบริสุทธิ์ หรือเป็นจิตแท้ที่รู้แจ้งเป็นสัพพัญญู
ศาสนาพุทธนิกายมหายานมองพระพุทธองค์อีกแง่หนึ่ง คือมองว่า พระพุทธองค์ยังมีกายอยู่ แต่เป็นกายที่เรียกว่า สัมโภคกาย ซึ่งเป็นกายทิพย์ที่มีรัศมีรุ่งเรืองแผ่ซ่านไปทั่ว และพระองค์ทรงสถิตอยู่ที่พุทธเกษตร ( เกษตรคำนี้แปลว่าดินแดน ) ปัญหาของนิกายทั้ง 2 ผมไม่อยากยุ่ง ผมเพียงแต่ชี้แนะทางไปสู่แดนสุขาวดี ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนถึงเท่านั้นคือ ให้ภาวนาถึงพระพุทธเจ้าในกาลก่อนคือ พระอมิตาภพุทธเจ้า แค่เพียงครั้งเดียว และขออธิษฐานจิตเข้าไปอยู่ในแดนสุขาวดีของท่าน อย่างไรก็ตาม แดนสุขาวดีเป็นดินแดนปฏิบัติธรรมเพื่อไปถึงนิพพานอย่างเดียว จึงไม่เหมาะกับพวกที่ยึดติดทางโลกอยู่
องค์พระผู้เป็นเจ้า(แท้จริง)หรือพระพุทธเจ้า โดยทั่วๆไปพระองค์จะอยู่ในจิตของผู้เห็นธรรม คำตรัสสอนที่ว่า “ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต(เรา)  จึงหาใช่คำกล่าวเล่นๆไม่ แต่เป็นความจริง ผมเชื่อว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า(แท้จริง)ทรงตรัสสอนอยู่ในทุกศาสนา ตามภูมิปัญญา ความเชื่อ ทัศนะคติ ค่านิยม นิสัย สันดาน อารมณ์ ฯลฯ ของผู้คนในแต่ละสังคม
ผมไม่เคยดูถูกและเหยียดหยามในศาสนาไหน ด้วยเหตุนี้ ผมจึงตีความออกว่า ธรรมที่พระพุทธองค์พูดถึงนี้ ก็มีความหมายเหมือนพระจิตในอีกศาสนาหนึ่งนั่นเอง มนุษย์เองเป็นผู้แบ่งแยกศาสนา ไม่ใช่พระเจ้าแท้จริงเป็นผู้แบ่งแยก พระองค์เป็นจิตที่บริสุทธิ์ มนุษย์ผู้มีจิตขุ่นมัว จึงมองไม่เห็นความจริงว่า พระพุทธเจ้าก็คือ จิตส่วนหนึ่งของพระเจ้าแท้จริง ถ้าพระพุทธองค์ต้องการปรากฏพระวรกาย พระพุทธองค์ก็สามารถปรากฏกายได้ 2 ทางคือ
ทางแรก พระองค์จะปรากฏกายเป็นพลังงานแห่งจิตที่บริสุทธิ์ คือเป็นแสงแห่งธรรมของผู้อยู่ในนิพพาน แสงนี้มนุษย์ที่เคยตายไปแล้ว และสามารถฟื้นจากความตายได้ ล้วนเป็นประจักษ์พยานได้ถึงความมีอยู่จริงของแสงนี้ในปรโลก
ทางที่สอง ถ้าพระพุทธองค์ต้องการจะปรากฏกาย ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ปกติ
พระองค์ก็ทำได้ โดยสั่งให้กลุ่มควาร์คสร้างหรือประกอบรูปขึ้นมา เพื่อเป็นกายห่อหุ้มจิตของพระองค์ โดยพระองค์ไม่จำเป็นต้องนำธาตุ 4 เข้ามาปรุงแต่งร่วมด้วย การปรากฏกายในลักษณะนี้ จะเป็นรูปแบบของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า
ผมเข้าใจว่า หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ท่านได้พบพระพุทธองค์ในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน หลวงพ่อสดท่านได้ตีความ และบรรลุพระธรรมขั้นปรมัตถ์สัจจะนี้ด้วย หลวงพ่อท่านจึงได้รู้ว่า คำตรัสสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต(เรา) นั้น แท้จริงธรรมที่ว่า ก็คือธรรมกายนั่นเอง หรือก็คือการดำรงอยู่ของพระพุทธเจ้าในรูปแบบที่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ พูดกันตรงๆเลย ผมคิดว่าธรรมกายที่หลวงพ่อสดพูดถึง ก็คือสัมโภคกายที่มหายานพูดถึงนั่นเอง
ผมจะให้ความจริงเหล่านี้ ตายไปพร้อมกับตัวผมไม่ได้เด็ดขาด โปรดอย่าลืมว่านิพพานคือ “ ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ” ธรรมชาติที่แท้จริงก็คือ “ ควาร์ค ” ที่รู้แจ้งก็คือ จิตที่บริสุทธิ์และเป็นสัพพัญญู ซึ่งเป็นจิตแท้ที่ไม่ถูกอวิชชาครอบงำ
มี 3 ทางให้ท่านผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ สามารถเลือกทำได้ อย่างแรกคือ อย่าไปเชื่อคนเขียน เพราะไอ้นี่มันบ้าจนกู่ไม่กลับแล้ว อย่างที่สองคือ ท่านไม่ต้องเชื่อผม ปล่อยศาสนาพุทธไปตามบุญตามกรรม นิกายไหนจะเป็นแบบไหนก็เรื่องของเขา ความจริงเรื่องนิพพานและเรื่องพระเจ้า แท้จริงจะเป็นอย่างไร ก็ไม่ช่วยให้ท่านพ้นทุกข์หรือขึ้นสวรรค์ได้ ทางเลือกที่สามคือ ท่านสมควรจะรู้ความลับของฟ้าเอาไว้บ้าง มนุษย์ทุกคนมีความอยากรู้อยากเห็น ผมเองก็เช่นเดียวกัน แต่ผมโชคดีกว่าตรงที่ ผมเชื่อโดยสุจริตใจว่า ผมอาจจะได้ทำแจ็คพอตของฟ้าแตก จากการผ่านเข้าไปในประตูนิพพาน 3-5 นาที และยังไม่มีใจแบ่งแยกศาสนาด้วย ผมจะเคารพในพระเจ้า ไม่ว่าจะพูดถึงศาสนาใดก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ผมจึงมั่นใจว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าแท้จริง พระองค์ท่านได้ทรงมีพระมหากรุณาเปิดเผยความลับของฟ้าบางส่วนให้ผมรู้
อย่างไรก็ตาม ผมมีความรับผิดชอบต่อสังคม ผมจึงได้เปิดเผยสิ่งที่ผมรู้ได้เพียง 80%เท่านั้น ที่เหลืออีก 20% ผมขอให้ความลับของฟ้าชุดนี้ มันลงหลุมไปกับพร้อมกับตัวผมเถอะเปิดเผยไม่ได้จริงๆ เพราะจิตมนุษย์ทั่วโลกยังไม่พร้อมจะรับฟังเรื่องเหล่านี้
สุดท้ายนี้ ผมต้องการเตือนผู้อ่านทุกคนว่า พวกท่านต้องไม่ลืมทำความดี และสิ่งเดียวที่ท่านไม่สมควรทำอย่างยิ่งคือ “ ความชั่วหรือบาป ” ท่านที่หลงทำชั่วที่เกี่ยวกับศีล 5 ไว้ ทางรอดของท่านก็คือ “ ท่านต้องสำนึกบาปอย่างแท้จริงก่อนตาย ” เท่านั้นวิญญาณของท่านก็จะไม่ตกนรกแล้ว ส่วนกฎแห่งกรรมในโลกมนุษย์เป็นสิ่งเดียวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สามารถบรรเทาผลร้ายหรือวิบากกรรมลงได้ จากการทำบุญสวนกระแสความต้องการทำบาป
เรื่องที่ผมเล่าให้ฟังในหนังสือเล่มนี้ มันเป็นเรื่องอจินไตย รู้ไปก็เท่านั้น แต่รู้ไว้ใช่ว่าดีกว่าไม่รู้อะไรเลย พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่า เรื่องที่พระองค์ทรงตรัสรู้มีมากมาย เปรียบเหมือนใบไม้ในป่าใหญ่ แต่ที่พระองค์ทรงตรัสสอน เป็นแค่ใบไม้ในกำมือเดียว ส่วนตัวผมไปเก็บใบไม้ใบหนึ่ง ที่พระพุทธองค์ทำตกทิ้งไว้เมื่อ 2548 ปีที่แล้ว มาเล่าให้พวกท่านฟังเท่านั้น
เสียใจไม่มีเล่ม 3 แล้วนะครับ เจอกันใหม่ชาติหน้า

ความคิดเห็น